เชื่อไหมครับ ว่าคนเราอาจจะมีช่วงชีวิตที่แย่ๆ หรือเราอาจจะเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้สวยหรู เหมือนกับใครคนอื่น แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เราจะใช้เป็นข้ออ้าง ในการที่เราจะไม่ประสบความสำเร็จใดๆในชีวิต เพราะตัวเราเท่านั้นที่จะพลิกชีวิตตัวเองได้
ไปอ่านเรื่องนี้กันครับ ผมว่าอ่านที่ไร รู้สึกดีทุกครั้ง
เรื่อง..."เด็กขัดรองเท้ากับลุงผู้ใหญ่ใจดี"
15 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมลงทุนทำธุรกิจ ผมต้องเดินทางไปดูงานที่เมืองหนึ่ง
หลังจากพูดคุยเรื่องธุรกิจเสร็จแล้ว ผมได้เข้าไปซื้อของขวัญในห้างสรรพสินค้า
ปกติ เวลาเดินห้างฯ ผมชอบพกเหรียญติดตัวไปด้วย เพราะแถวนั้นมักมีขอทานอยู่
ผมให้เงินเขาเหล่านั้นทีละเหรียญสองเหรียญ แค่นี้ผมก็รู้สึกเป็นสุขใจแล้ว
วันนี้ก็เหมือนกัน ในกระเป๋าของผมก็มีเศษเหรียญอยู่มากพอที่จะให้ขอทานได้หลายๆคน
จู่ๆ สายตาของผมก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กชายคนหนึ่ง
ในมือของแกถืออะไรสักอย่างและกำลังมองมาทางผมเช่นกัน สายตาของเด็กดึงผมให้เดินเข้าไปหา
เด็กคนนี้อายุน่าจะประมาณ 13-14ปี แกแต่งตัวดูสะอาดเรียบร้อย ผมเผ้าก็หวีเข้ารูปเข้าทรง แต่ที่แตกต่างจากเด็กอื่นๆก็คือ จากที่ในมือน่าจะถือไอศครีมแต่แกกลับถือป้ายแทน และป้ายที่แกถือนั้นวาดรูปเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังขัดรองเท้าอยู่ และมีข้อความเขียนว่า
“ผมอยากได้อุปกรณ์ขัดรองเท้า”
ในเมื่อยังพอมีเวลาอยู่ ผมก็เลยคุยกับเด็กชายคนนี้
“อุปกรณ์ขัดรองเท้าราคาเท่าไหร่เจ้าหนู?”
“125 เหรียญครับ” เด็กชายมองมาด้วยแววตาแบบมีความหวัง
“ฉันว่ามันแพงเกินไป” พูดเสร็จผมก็ส่ายหน้า
“ไม่เลยครับ ผมสอบถามร้านค้าส่งในตลาดมา 4 รอบแล้ว ไม่มีร้านไหนขายถูกกว่านี้แล้วครับ ”
เด็กชายเล่าอย่างตั้งใจ
ผมเห็นความตั้งใจของแก และพิจารณาแล้ว เด็กคนนี้ไม่น่าจะตั้งใจหลอกผมเป็นแน่ ผมก็เลยถามแกว่า
“แล้วตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือเท่าไร่?”
เด็กน้อยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“35 เหรียญครับ ผมขาดเงินอยู่อีก 90 เหรียญ!”
ผมเปิดกระเป๋า แล้วหยิบเงินออกมา 90 เหรียญ แล้วก็บอกแกว่า
“เงิน 90 เหรียญนี้ฉันให้เธอ คิดซะว่าฉันร่วมลงทุนกับเธอก็แล้วกัน แต่
“ในเมื่อตอนนี้เราร่วมธุรกิจกันแล้ว ฉันอยากเสนอแนะเธอว่า เธอไม่ควรอยู่หน้าห้าง เพราะในห้างมีบริการขัดรองเท้าฟรีอยู่แล้วซึ่งใครๆก็รู้”
5 วันที่อยู่ที่นั่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้วผมก็ต้องเดินทางกลับ เด็กชายคนนั้นคืนเงินให้ผมวันละ 18 เหรียญจนครบ 90 เหรียญในวันสุดท้าย
เมื่อเด็กชายรู้ว่าผมเป็นผู้จัดการบริษัทหนึ่งที่ปักกิ่ง แกบอกกับผมว่า เมื่อแกจบปริญญาตรีเมื่อไหร่จะไปหาผมที่ปักกิ่ง จากนั้นก็ยื่นมือดำๆของแกมาขอจับมือผม ผมจับมือของเด็กไว้แน่นเช่นกัน
ผมทำงานที่บริษัทนี้ได้หลายปี ต่อมาก็ลาออกมาเปิดบริษัทเทรดดิ้ง
วันนี้ ผมหัวยุ่งแต่เช้า บริษัทประสบปัญหาเกิดการขาดทุนเป็นจำนวนมาก
ผมบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆและขอกู้เงินจากหลายๆ ธนาคาร แต่ก็ไม่มีใครช่วยผมได้
ผมเพิ่งวางโทรศัพท์ เลขาก็เคาะประตูเข้ามารายงานว่า กลางวันนี้มีนักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่งขอนัดผมเพื่อทานกลางวัน ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอและไม่ได้ถามว่านักธุรกิจหนุ่มคนนั้นเป็นใคร ได้แต่ก้มหน้าดูบัญชีรายจ่ายที่จะต้องหาทางแก้ไข เลขาได้หยิบเอาพวงกุญแจวางไว้ที่โต๊ะของผม ผมมองพวงกุญแจและตะลึงไปครู่หนึ่ง
พวงกุญแจที่คุ้นตาและมีตัวอักษรคำว่า “ผมเก่งมาก” อยู่บนตัวหมีแพนด้านั้น
ผมนึกออกแล้ว พวงกุญแจนี้ผมเป็นคนมอบให้เด็กชายขัดรองเท้าเมื่อ 15 ปีก่อน แต่ตอนนั้นผมเขียนแค่ว่า “เก่งมาก” เขาคงเป็นคนเติมคำว่า “ผม” ในภายหลัง
เมื่อถึงช่วงกลางวัน ผมเดินเข้าไปที่ห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง
โต๊ะที่ถูกจองไว้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งสวมสูทลุกขึ้นยืนโค้งและยิ้มให้กับผม
จากรอยยิ้มและสายตาอันมุ่งมั่นของเด็กหนุ่ม ทำให้ผมเห็นภาพของเด็กชายที่ผมพบเจอเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
เรารับประทานอาหารและพูดคุยกันอย่างถูกคอ หลังจากทานข้าวและดื่มชากันไปคนละแก้ว เขาหยิบเช็คเงินสดจำนวน 5 ล้านเหรียญออกมาและพูดว่า
ฉันมีข้อแม้อยู่ว่า เมื่อเธอเริ่มมีรายได้ เธอจะต้องหักออกมาคืนให้ฉัน ฉันจะอยู่ที่เมืองนี้อีก 5 วัน ภายใน 5 วันนี้เธอต้องคืนเงินให้ฉันจนครบ และฉันขอดอกเบี้ยจากเธอ 1 เหรียญ หากเธอตกลง เงิน 90 เหรียญนี้ก็จะเป็นของเธอ!”
เด็กชายร้อง “เย้!” จากนั้นก็โค้งคำนับและกล่าวตกลงพร้อมกับขอบคุณผมเป็นการใหญ่
เด็กชายเล่าให้ผมฟังว่า แกเรียนอยู่ชั้นประถม 6 แต่ไปโรงเรียนเพียงแค่อาทิตย์ละ 3 วัน ส่วนวันอื่นๆนั้นต้องช่วยแม่เลี้ยงวัว และทำงานในนา แต่การเรียนไม่เคยตกจากอันดับที่ 3 เลย แถมยังอวดว่าตนเองเป็นคนเก่งที่สุดอีกด้วย
ผมถามแกว่าทำไมต้องซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า เด็กชายบอกผมว่า
“บ้านผมยากจน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ผมก็เลยขอแม่เข้ามาอยู่ในตลาด เพื่อหาเงินให้แม่และเป็นค่าเล่าเรียนของผม”
ผมมองแกด้วยสายตาสุดทึ่งในความคิด จากนั้นจึงเป็นเพื่อนแกไปซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า
เด็กชายแบกกล่องอุปกรณ์ขัดรองเท้าออกจากร้านค้าส่ง เดินตรงไปที่ห้างฯที่แกยืนอยู่เมื่อครู่นี้
ผมเรียกแกไว้ และบอกกับแกว่า
เด็กชายร้อง “เย้!” จากนั้นก็โค้งคำนับและกล่าวตกลงพร้อมกับขอบคุณผมเป็นการใหญ่
เด็กชายเล่าให้ผมฟังว่า แกเรียนอยู่ชั้นประถม 6 แต่ไปโรงเรียนเพียงแค่อาทิตย์ละ 3 วัน ส่วนวันอื่นๆนั้นต้องช่วยแม่เลี้ยงวัว และทำงานในนา แต่การเรียนไม่เคยตกจากอันดับที่ 3 เลย แถมยังอวดว่าตนเองเป็นคนเก่งที่สุดอีกด้วย
ผมถามแกว่าทำไมต้องซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า เด็กชายบอกผมว่า
“บ้านผมยากจน ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ผมก็เลยขอแม่เข้ามาอยู่ในตลาด เพื่อหาเงินให้แม่และเป็นค่าเล่าเรียนของผม”
ผมมองแกด้วยสายตาสุดทึ่งในความคิด จากนั้นจึงเป็นเพื่อนแกไปซื้ออุปกรณ์ขัดรองเท้า
เด็กชายแบกกล่องอุปกรณ์ขัดรองเท้าออกจากร้านค้าส่ง เดินตรงไปที่ห้างฯที่แกยืนอยู่เมื่อครู่นี้
ผมเรียกแกไว้ และบอกกับแกว่า
“ในเมื่อตอนนี้เราร่วมธุรกิจกันแล้ว ฉันอยากเสนอแนะเธอว่า เธอไม่ควรอยู่หน้าห้าง เพราะในห้างมีบริการขัดรองเท้าฟรีอยู่แล้วซึ่งใครๆก็รู้”
“งั้นผมไปขัดแถวๆหน้าโรงแรมดีไหมครับ?” เด็กชายเอ่ยถาม
“เข้าท่าดีเหมือนกันนะ เพราะแถวนั้นมีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจเข้ามาพักเยอะ เมื่อเขาเห็นเธอรับขัดรองเท้า พวกเขาคงไม่อยากขัดรองเท้าเองหรอก เธอนี่รู้ทำเลทำธุรกิจเหมือนกันนะเนี่ย” พูดเสร็จผมก็ยกนิ้วให้กับแก
เด็กชายเดินไปแถวๆ บริเวณใกล้โรงแรม จากนั้นก็วางเก้าอี้พลาสติกและคว่ำกล่องขัดรองเท้าลงกับพื้น
เมื่อจัดสถานที่ของตัวเองเสร็จแล้ว เด็กชายก็มองซ้ายทีขวาที จากนั้นก็มองมาที่ผม
“เข้าท่าดีเหมือนกันนะ เพราะแถวนั้นมีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจเข้ามาพักเยอะ เมื่อเขาเห็นเธอรับขัดรองเท้า พวกเขาคงไม่อยากขัดรองเท้าเองหรอก เธอนี่รู้ทำเลทำธุรกิจเหมือนกันนะเนี่ย” พูดเสร็จผมก็ยกนิ้วให้กับแก
เด็กชายเดินไปแถวๆ บริเวณใกล้โรงแรม จากนั้นก็วางเก้าอี้พลาสติกและคว่ำกล่องขัดรองเท้าลงกับพื้น
เมื่อจัดสถานที่ของตัวเองเสร็จแล้ว เด็กชายก็มองซ้ายทีขวาที จากนั้นก็มองมาที่ผม
“ทำไมคุณไม่ให้ผมจ่ายดอกเบี้ยให้คุณก่อนละครับ คุณก็รู้ว่าผมบริการดีเพียงใด?”
ผมได้ฟังก็หัวเราะออกมา
“เจ้าเด็กเอ๋ย เธอจะขัดรองเท้าให้ฉันเป็นการแลกกับดอกเบี้ย 1 เหรียญเนี่ยนะ?” ผมรู้สึกทึ่งกับความคิดของแกเป็นครั้งที่ 2
ผมจึงนั่งลงที่เก้าอี้พลาสติก และยกเท้าขึ้นเหยียบกล่องเพื่อให้แกขัดรองเท้า
“หากเธอขัดไม่มันวาว นั่นแปลว่าเธอโกหก และฉันกำลังลงทุนกับคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์ นั่นแปลว่าฉันล้มเหลวกับการทำธุรกิจนี้”
เด็กชายก้มหัวลงขัดรองเท้าให้ผม พร้อมกับบอกว่า แกเป็นคนเก่งที่สุดแล้ว
“คุณรู้หรือเปล่า ผมฝึกขัดรองเท้าหนังที่บ้านมาเป็นเวลา 1 เดือนแล้ว คุณก็รู้แถวบ้านนอกมีรองเท้าหนังไม่กี่คู่หรอก ผมไปขอเขาขัดมาหมดแล้ว”
พูดไปพลางขัดรองเท้าไปพลาง
ผ่านไปไม่กี่นาที แกก็ขัดรองเท้าให้ผมเสร็จ แกขัดได้มันเงาสมคำอวด ผมรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง ผมหยิบพวงกุญแจรูปหมีแพนด้าออกมาแล้วเขียนคำว่า “เก่งมาก” ส่งให้แก แกรับเอาไปด้วยความดีใจ
ครู่หนึ่ง ก็มีรถนักท่องเที่ยวเข้ามาจอดหน้าโรงแรม เด็กน้อยยกกล่องอุปกรณ์และเก้าอี้วิ่งเข้าไปหานักท่องเที่ยว
“ขัดรองเท้าไหมครับ ผมสามารถขัดรองเท้าของคุณให้มันวาวเหมือนกระจกได้นะครับ ขัดรองเท้าไหมครับ..” และแล้วลูกค้าคนที่หนึ่งก็ยอมใช้บริการ
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมแวะมาเยี่ยมเด็กชายคนนี้ที่หน้าโรงแรม
เมื่อแกเห็นผมก็รีบเล่าด้วยอาการดีใจว่าเมื่อวานแกขัดรองเท้าได้เงิน 50 เหรียญ แกหักไว้คืนให้ผม 18 เหรียญ ค่าอาหารของแก 3 เหรียญ แกจึงเหลือเงินอยู่ 29 เหรียญ
ผมตบบ่าแกเพื่อให้กำลังใจ และชมแกไปว่า “เก่งมาก”
แกบอกว่า เมื่อวานได้นอนห้องรวมในโรงแรม ไม่ได้นอนใต้สะพานแล้ว แต่ไม่ต้องจ่ายค่าห้อง 5 เหรียญ
ผมสงสัยว่าทำไมถึงไม่ต้องจ่ายค่าห้องพักรวม?
เด็กน้อยยิ้มอย่างพอใจและตอบว่า
“ผมช่วยขัดรองเท้าให้เจ้าของโรงแรมประมาณ 10 กว่าคู่ เย็นนี้ก็ได้นอนฟรีไม่ต้องจ่ายค่าห้องเหมือนเดิมครับ”
ผมได้ฟังก็หัวเราะออกมา
“เจ้าเด็กเอ๋ย เธอจะขัดรองเท้าให้ฉันเป็นการแลกกับดอกเบี้ย 1 เหรียญเนี่ยนะ?” ผมรู้สึกทึ่งกับความคิดของแกเป็นครั้งที่ 2
ผมจึงนั่งลงที่เก้าอี้พลาสติก และยกเท้าขึ้นเหยียบกล่องเพื่อให้แกขัดรองเท้า
“หากเธอขัดไม่มันวาว นั่นแปลว่าเธอโกหก และฉันกำลังลงทุนกับคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์ นั่นแปลว่าฉันล้มเหลวกับการทำธุรกิจนี้”
เด็กชายก้มหัวลงขัดรองเท้าให้ผม พร้อมกับบอกว่า แกเป็นคนเก่งที่สุดแล้ว
“คุณรู้หรือเปล่า ผมฝึกขัดรองเท้าหนังที่บ้านมาเป็นเวลา 1 เดือนแล้ว คุณก็รู้แถวบ้านนอกมีรองเท้าหนังไม่กี่คู่หรอก ผมไปขอเขาขัดมาหมดแล้ว”
พูดไปพลางขัดรองเท้าไปพลาง
ผ่านไปไม่กี่นาที แกก็ขัดรองเท้าให้ผมเสร็จ แกขัดได้มันเงาสมคำอวด ผมรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง ผมหยิบพวงกุญแจรูปหมีแพนด้าออกมาแล้วเขียนคำว่า “เก่งมาก” ส่งให้แก แกรับเอาไปด้วยความดีใจ
ครู่หนึ่ง ก็มีรถนักท่องเที่ยวเข้ามาจอดหน้าโรงแรม เด็กน้อยยกกล่องอุปกรณ์และเก้าอี้วิ่งเข้าไปหานักท่องเที่ยว
“ขัดรองเท้าไหมครับ ผมสามารถขัดรองเท้าของคุณให้มันวาวเหมือนกระจกได้นะครับ ขัดรองเท้าไหมครับ..” และแล้วลูกค้าคนที่หนึ่งก็ยอมใช้บริการ
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมแวะมาเยี่ยมเด็กชายคนนี้ที่หน้าโรงแรม
เมื่อแกเห็นผมก็รีบเล่าด้วยอาการดีใจว่าเมื่อวานแกขัดรองเท้าได้เงิน 50 เหรียญ แกหักไว้คืนให้ผม 18 เหรียญ ค่าอาหารของแก 3 เหรียญ แกจึงเหลือเงินอยู่ 29 เหรียญ
ผมตบบ่าแกเพื่อให้กำลังใจ และชมแกไปว่า “เก่งมาก”
แกบอกว่า เมื่อวานได้นอนห้องรวมในโรงแรม ไม่ได้นอนใต้สะพานแล้ว แต่ไม่ต้องจ่ายค่าห้อง 5 เหรียญ
ผมสงสัยว่าทำไมถึงไม่ต้องจ่ายค่าห้องพักรวม?
เด็กน้อยยิ้มอย่างพอใจและตอบว่า
“ผมช่วยขัดรองเท้าให้เจ้าของโรงแรมประมาณ 10 กว่าคู่ เย็นนี้ก็ได้นอนฟรีไม่ต้องจ่ายค่าห้องเหมือนเดิมครับ”
5 วันที่อยู่ที่นั่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้วผมก็ต้องเดินทางกลับ เด็กชายคนนั้นคืนเงินให้ผมวันละ 18 เหรียญจนครบ 90 เหรียญในวันสุดท้าย
เมื่อเด็กชายรู้ว่าผมเป็นผู้จัดการบริษัทหนึ่งที่ปักกิ่ง แกบอกกับผมว่า เมื่อแกจบปริญญาตรีเมื่อไหร่จะไปหาผมที่ปักกิ่ง จากนั้นก็ยื่นมือดำๆของแกมาขอจับมือผม ผมจับมือของเด็กไว้แน่นเช่นกัน
ผมทำงานที่บริษัทนี้ได้หลายปี ต่อมาก็ลาออกมาเปิดบริษัทเทรดดิ้ง
วันนี้ ผมหัวยุ่งแต่เช้า บริษัทประสบปัญหาเกิดการขาดทุนเป็นจำนวนมาก
ผมบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆและขอกู้เงินจากหลายๆ ธนาคาร แต่ก็ไม่มีใครช่วยผมได้
ผมเพิ่งวางโทรศัพท์ เลขาก็เคาะประตูเข้ามารายงานว่า กลางวันนี้มีนักธุรกิจหนุ่มคนหนึ่งขอนัดผมเพื่อทานกลางวัน ผมไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอและไม่ได้ถามว่านักธุรกิจหนุ่มคนนั้นเป็นใคร ได้แต่ก้มหน้าดูบัญชีรายจ่ายที่จะต้องหาทางแก้ไข เลขาได้หยิบเอาพวงกุญแจวางไว้ที่โต๊ะของผม ผมมองพวงกุญแจและตะลึงไปครู่หนึ่ง
พวงกุญแจที่คุ้นตาและมีตัวอักษรคำว่า “ผมเก่งมาก” อยู่บนตัวหมีแพนด้านั้น
ผมนึกออกแล้ว พวงกุญแจนี้ผมเป็นคนมอบให้เด็กชายขัดรองเท้าเมื่อ 15 ปีก่อน แต่ตอนนั้นผมเขียนแค่ว่า “เก่งมาก” เขาคงเป็นคนเติมคำว่า “ผม” ในภายหลัง
เมื่อถึงช่วงกลางวัน ผมเดินเข้าไปที่ห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง
โต๊ะที่ถูกจองไว้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งสวมสูทลุกขึ้นยืนโค้งและยิ้มให้กับผม
จากรอยยิ้มและสายตาอันมุ่งมั่นของเด็กหนุ่ม ทำให้ผมเห็นภาพของเด็กชายที่ผมพบเจอเมื่อ 15 ปีที่แล้ว
เรารับประทานอาหารและพูดคุยกันอย่างถูกคอ หลังจากทานข้าวและดื่มชากันไปคนละแก้ว เขาหยิบเช็คเงินสดจำนวน 5 ล้านเหรียญออกมาและพูดว่า
“ผมอยากร่วมลงทุนกับคุณ และภายใน 5 ปี ผมขอทุนคืน ”
“5 ล้านเหรียญ”
ผมอุทานขึ้นในใจ มันมากมายและมาทันเวลาพอดี
เด็กหนุ่มเล่าต่อว่า
“15 ปีก่อน คุณสอนให้ผมอยู่รอด จากนั้นผมก็มุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะ ผมเฝ้าเก็บหอมรอมริบ ตอนนี้ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง ส่วนเงินจำนวน 5 ล้านเหรียญที่ผมร่วมลงทุนกับคุณนี้ ผมขอดอกเบี้ยจำนวนหนึ่ง”
ผมเงยหน้ามองเด็กหนุ่มแล้วถามว่าเท่าไหร่?
เด็กหนุ่มตอบออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
“1เหรียญครับ!”
ผมพิงพนักเก้าอี้ แล้วก็ยิ้มออกมา
90 เหรียญที่ผมลงทุนกับเด็กหนุ่มคนนี้เมื่อ 15 ปีที่แล้วด้วยความไม่ตั้งใจ กลับมีผลตอบสนองในวันนี้ถึง 5 ล้านเหรียญ นี่คงเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนมหาศาลที่สุดในชีวิตของผมเป็นแน่
*อย่าลืมแชร์ต่อนะครับ บทความดีๆ*
“5 ล้านเหรียญ”
ผมอุทานขึ้นในใจ มันมากมายและมาทันเวลาพอดี
เด็กหนุ่มเล่าต่อว่า
“15 ปีก่อน คุณสอนให้ผมอยู่รอด จากนั้นผมก็มุ่งมั่นที่จะสร้างฐานะ ผมเฝ้าเก็บหอมรอมริบ ตอนนี้ผมมีบริษัทเป็นของตัวเอง ส่วนเงินจำนวน 5 ล้านเหรียญที่ผมร่วมลงทุนกับคุณนี้ ผมขอดอกเบี้ยจำนวนหนึ่ง”
ผมเงยหน้ามองเด็กหนุ่มแล้วถามว่าเท่าไหร่?
เด็กหนุ่มตอบออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า
“1เหรียญครับ!”
ผมพิงพนักเก้าอี้ แล้วก็ยิ้มออกมา
90 เหรียญที่ผมลงทุนกับเด็กหนุ่มคนนี้เมื่อ 15 ปีที่แล้วด้วยความไม่ตั้งใจ กลับมีผลตอบสนองในวันนี้ถึง 5 ล้านเหรียญ นี่คงเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนมหาศาลที่สุดในชีวิตของผมเป็นแน่
*อย่าลืมแชร์ต่อนะครับ บทความดีๆ*
ขอบคุณบทความดีๆ
ที่มา : http://www.thaijobsgov.com/jobs=43290
ที่มา : http://pantip.com/topic/33668738
ที่มา : https://www.pinterest.com/pin/331859066271654971/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น