ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

*บันได เจ็ด ขั้นสู่การสร้างชีวิตที่เป็นอิสระและไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต


  1. (จะทำก็เพราะเราอยากทำ)

  2. 1.หากคุณเป็นนักศึกษา คุณต้องเริ่มพัฒนาความสามารถด้านอื่น ๆ สร้างคอนเน็คชั่น และหาประสบการณ์การทำงานระหว่างเรียน ให้จำไว้ว่า ผลการเรียนที่ดี ไม่สามารถการันตี ผลการเงินที่ดีได้

  3. 2.หากคุณอยู่ในกำลังทำงาน ให้หางานที่รับรายได้ตามผลงาน คุณจะได้ทั้งรายได้และเป็นการพึงศักยภาพในการทำงานของตัวเอง แต่หากรายได้ตามผลงานยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย ให้หางานที่รับรายได้ตามเวลาควบคู่ไปด้วย

  4. 3.ในระหว่างทำงานประจำ ให้ใส่วิญญาณเถ้าแก่ในตัวเอง ศึกษาทุกอย่างทุกขั้นตอนของการเป็นตัวของธุรกิจให้พร้อม ก่อนที่จะออกมาเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง

  5. 4.นำเงินที่ได้จากการทำงานหรือทำธุรกิจส่วนตัวมาสร้าง “ทรัพย์สิน” อย่าเพิ่งสร้าง “หนี้สิน”

  6. 5.นำเงินที่ได้จาการทำธุรกิจและ Passive Income ก้อนเล็กไปลงทุนให้เกิด Passive Income ก้อนอื่น ๆ ตามมา

  7. 6.คำนวณรายจ่ายของตัวเอง และพยายามทำให้มีรายได้จาก Passive Income มากกว่ารายจ่ายของตัวเอง

  8. 7.เมื่อถึงเป้าหมาย Financial Freedom คุณจะมีเงินใช้จ่ายในแต่ละเดือน โดยที่คุณไม่ต้องทำงานอีกเลยไปตลอดชีวิต (นอกจากคุณจะอยากที่จะทำเอง)

บันไดทั้ง 7 ข้อนี้เป็นแนวทางในการสร้างชีวิตที่คุณไม่ต้องทำงานไปทั้งชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าการลงมือทำในแต่ละขั้นนั้นต้องอาศัยการเรียนรู้ ความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้ออุปสรรคที่จะต้องเจออย่างแน่นอน หากเราไม่ท้อถอยความสำเร็จในจุดมุ่งหมายที่เราวางไว้ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
หากเพื่อน ๆ ผู้อ่านท่านใดมีข้อคิดเห็นหรือมีแนวทางที่อยากจะแชร์ก็สามารถคอมเม้นต์ได้ ตามกล่องคอมเม้นต์ด้านล่างนี้ครับ ก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่วางไว้ครับ…
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ รู้ก่อนตอนนี้ ดีกว่ารู้งี้ตอนหลัง

*หากวันหนึ่ง เราเกิดทะเลาะกัน!


หากวันหนึ่ง เราเกิดทะเลาะกัน..!
เมื่อคนสองคน อยู่ด้วยกันนานวันเข้า
หญิงสาว ยิ่งมายิ่งรักชายหนุ่ม
ชายหนุ่ม ยิ่งมายิ่งปล่อยปละละเลย
หญิงสาวจะตัดพ้อว่าชายหนุ่มเปลี่ยนไปไม่รักเธอเหมือนเดิม!
ชายหนุ่มจะแก้ตัวว่าหญิงสาวคิดมากไปเอง!
ที่จริง ไม่มีใครเปลี่ยน เพราะที่เปลี่ยนไปคือเวลา!
เวลาที่เธอและเขาอยู่ด้วยกันมันเริ่มนาน
ความสนิทเริ่มมีมากขึ้น เริ่มชินกับการใช้ชีวิตร่วมกัน
จึงไม่รู้สึกเกรงใจเหมือนเริ่มคบหากันใหม่ๆ
ดังนั้น หญิงสาวจึงเริ่มคิดมาก
อย่าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่มีอะไร!
หากปล่อยไว้นานวัน ความอาทรจะเริ่มจืดจาง
สุดท้าย ต่างฝ่ายต่างอาจเลือกการเลิกราเป็นการจบปัญหานั้น!
หากวันนั้นมาถึง
จงถามตัวเอง ว่าเพราะอะไร คุณทั้งสองจึงมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน?
หากเริ่มทะเลาะกัน
ใครคนหนึ่งต้องกล้ากล่าวคำขอโทษก่อน
มันไม่ได้หมายความว่าคุณแพ้
มันไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ
มันไม่ได้หมายความว่าคุณให้อภัยฝ่ายตรงข้ามแล้ว
แต่มันหมายความว่า คุณยังใส่ใจความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามอยู่
คุณยังถนอมสายสัมพันธ์

3 วันที่สำคัญในชีวิต
1. วันที่ยังมีคุณอยู่บนโลกนี้
2. วันที่ยังมีฉันอยู่บนโลกนี้
3. วันที่คุณและฉันกลายเป็น “เรา” อยู่บนโลกใบนี้ด้วยกัน
รักกัน ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ทะเลาะกัน
แต่ทะเลาะกันแล้ว เรายังอยู่ด้วยกันได้ นั่นแหละคือความรักที่ยั่งยืน
นุสนธิ์บุคส์
ขอบคุณที่มา :  https://www.facebook.com/NusonBooks
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/NusonBooks

*บันได เจ็ด ขั้นสู่การสร้างชีวิตที่เป็นอิสระและไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต

  1. (จะทำก็เพราะเราอยากทำ)
  2. 1.หากคุณเป็นนักศึกษา คุณต้องเริ่มพัฒนาความสามารถด้านอื่น ๆ สร้างคอนเน็คชั่น และหาประสบการณ์การทำงานระหว่างเรียน ให้จำไว้ว่า ผลการเรียนที่ดี ไม่สามารถการันตี ผลการเงินที่ดีได้

  3. 2.หากคุณอยู่ในกำลังทำงาน ให้หางานที่รับรายได้ตามผลงาน คุณจะได้ทั้งรายได้และเป็นการพึงศักยภาพในการทำงานของตัวเอง แต่หากรายได้ตามผลงานยังไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย ให้หางานที่รับรายได้ตามเวลาควบคู่ไปด้วย

  4. 3.ในระหว่างทำงานประจำ ให้ใส่วิญญาณเถ้าแก่ในตัวเอง ศึกษาทุกอย่างทุกขั้นตอนของการเป็นตัวของธุรกิจให้พร้อม ก่อนที่จะออกมาเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง

  5. 4.นำเงินที่ได้จากการทำงานหรือทำธุรกิจส่วนตัวมาสร้าง “ทรัพย์สิน” อย่าเพิ่งสร้าง “หนี้สิน”

  6. 5.นำเงินที่ได้จาการทำธุรกิจและ Passive Income ก้อนเล็กไปลงทุนให้เกิด Passive Income ก้อนอื่น ๆ ตามมา

  7. 6.คำนวณรายจ่ายของตัวเอง และพยายามทำให้มีรายได้จาก Passive Income มากกว่ารายจ่ายของตัวเอง

  8. 7.เมื่อถึงเป้าหมาย Financial Freedom คุณจะมีเงินใช้จ่ายในแต่ละเดือน โดยที่คุณไม่ต้องทำงานอีกเลยไปตลอดชีวิต (นอกจากคุณจะอยากที่จะทำเอง)

บันไดทั้ง 7 ข้อนี้เป็นแนวทางในการสร้างชีวิตที่คุณไม่ต้องทำงานไปทั้งชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าการลงมือทำในแต่ละขั้นนั้นต้องอาศัยการเรียนรู้ ความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้ออุปสรรคที่จะต้องเจออย่างแน่นอน หากเราไม่ท้อถอยความสำเร็จในจุดมุ่งหมายที่เราวางไว้ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
หากเพื่อน ๆ ผู้อ่านท่านใดมีข้อคิดเห็นหรือมีแนวทางที่อยากจะแชร์ก็สามารถคอมเม้นต์ได้ ตามกล่องคอมเม้นต์ด้านล่างนี้ครับ ก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่วางไว้ครับ…
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ รู้ก่อนตอนนี้ ดีกว่ารู้งี้ตอนหลัง

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

*มหาเศรษฐีฮ่องกง ลี กา ชิง สอนวิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี

มหาเศรษฐีฮ่องกง ลี กา ชิง 
2014-05-29-2
สอนวิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี

ลี กา ชิง มหาเศรษฐีแห่งเกาะฮ่องกง วัย 85 ปี ต่อสู้ชีวิต รับผิดชอบเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนบิดาที่เสียฯ ไป ตั้งแต่เขายังอยู่ในโรงเรียน บากบั่นมานะจนกลายเป็นคนที่รวยที่สุดของเกาะฮ่องกง ได้ชื่อว่า ซูเปอร์แมนหลี่ ผู้ร่ำรวยมหาศาลมีทรัพย์สินมูลค่ากว่า 16,000 ล้านเหรียญ มีอาณาจักรธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม สถานีโทรทัศน์ ท่าเรือขนส่ง บริการอินเตอร์เน็ต อสังหาริมทรัพย์ ลี กาชิงได้ถ่ายทอดบทเรียนชีวิตสำคัญเกี่ยวกับเงิน 5 กอง 

หมายเหตุ : *1 หยวน ประมาณ 5 บาท

มหาเศรษฐีฮ่องกง ลี กา ชิง แบ่งปันความภูมิปัญญาทางด้านการเงินของเขา สรุปแผนที่ใช้ในการสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับแผนห้าปีที่จะเปลี่ยนชีวิตคนไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างสิ้นเชิง สมมติว่ารายได้ต่อเดือนของคุณมีแค่ 2,000 หยวน คุณสามารถมีการ เป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ โดยการที่คุณแบ่งเงินเป็น 5 ส่วน ส่วนแรก 600 หยวน, ส่วนที่สอง 400 หยวน, ส่วนที่สาม 300 หยวน, ส่วนที่สี่ 200 หยวน, ส่วนที่ห้า 500 หยวน

เงินส่วนแรก กันเอาไว้เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตประจำวัน ด้วยวิธีง่ายๆ คุณแค่แบ่งเงินในแต่ละวันไว้ใช้จ่ายไม่เกิน 20 หยวนต่อวัน มื้อเช้าของทุกวันกินวุ้นเส้น ไข่หนึ่งฟอง และนมหนึ่งแก้ว ส่วนมื้อกลางวันก็กินอาหารเบาๆ และผลไม้ พอมือเย็นก็เข้าครัวไปทำอาหารที่ประกอบด้วยผัก และดื่มนมหนึ่งแก้วก่อนนอน ในหนึ่งเดือนค่าใช้จ่ายตกประมาณ 500-600 หยวน เมื่อคุณยังหนุ่มสาวร่างกายคุณยังไม่ค่อยเจ็บป่วยในช่วงปีแรกๆ พอเพียงสำหรับการกินอยู่แบบนี้

เงินส่วนที่สอง กันไว้สำหรับการสร้างเพื่อน และขยายความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในแวดวง สิ่งนี้จะทำให้คุณมั่งคั่ง กันไว้ 100 หยวนสำหรับค่าโทรศัพท์ กันเงินไว้สำหรับกินข้าวกับเพื่อนๆ 2 มื้อต่อเดือน มื้อละ 150 หยวน ใครคือคนที่คุณสมควรจะกินข้าวด้วย? จำไว้เสมอว่าคุณจะต้องกินข้าวกับคนที่มีความรู้มากกว่าคุณและรวยกว่าคุณหรือคนทีจะช่วยสนับสนุนคุณในด้านการงานได้ แน่ใจว่าคุณต้องทำเช่นนี้ทุกเดือน หลังจากนั้นหนึ่งปีแวดวงเพื่อนๆ ของคุณจะสร้างคุณค่ามากมายมหาศาลให้กับคุณ ชื่อเสียงและอิทธิพลของคุณจะเพิ่มมูลค่าเป็นที่จดจำ ภาพลักษณ์ของคุณจะเพิ่มขึ้นเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

เงินส่วนที่สาม การเรียนรู้ คุณควรจะจ่ายเงินประมาณ 50 ถึง 100 หยวน ในการซื้อหนังสือ เพราะคุณมีเงินไม่มาก คุณควรเอาใจใส่กับการจ่ายเงินไปกับการเรียนรู้ เมื่อคุณซื้อหนังสือและอ่านมันอย่างระมัดระวัง จงเรียนรู้บทเรียนและกลยุทธต่างๆ ที่สอนไว้ในหนังสือ หลังจากอ่านหนังสือแต่ละเล่มให้เล่าเรื่องราวเป็นภาษาของคุณ การแบ่งปันกับคนอื่นจะช่วยให้คุณได้รับความน่าเชื่อถือและเป็นคนที่น่าสนใจ และประหยัดเงินเดือนละ 200 หยวนเพื่อเข้าคอร์สอบรมต่างๆ เมื่อคุณรายได้เพิ่ม ให้กันเงินส่วนนี้เพิ่มขึ้นและเข้าร่วมคอร์สอบรมในระดับที่สูงขึ้น เมื่อคุณเข้าร่วมคอร์สอบรมที่ดีมันจะไม่ช่วยแค่ให้คุณมีความรู้ที่ดี แต่ยังจะช่วยให้คุณเจอเพื่อนที่มีความคิดเหมือนกันซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆ

เงินส่วนที่สี่ เก็บไว้ใช้สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศในวันหยุด ให้รางวัลแก่ตนเองโดยการเดินทางไปต่างประเทศอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อการเติบโตของประสบการณ์ในชีวิตอย่างต่อเนื่อง พักในโฮสเตลราคาประหยัด ในเวลาไม่กี่ปีผ่านไปคุณจะเดินทางไปหลายประเทศและจะมีประสบการณ์หลากหลาย ใช้ประสบการณ์เหล่านี้เป็นการเพิ่มพลังใหม่ให้ตัวเองมีแรงขับดันในการทำงานต่อไป

เงินส่วนที่ห้า ลงทุน ประหยัด 500 หยวนเก็บไว้ในธนาคารเพื่อเป็นทุนในการเริ่มต้นทำธุรกิจ เงินทุนสามารถใช้ในการเริ่มต้นทำธุรกิจเล็กๆ การเริ่มจากธุรกิจเล็กๆ มักจะปลอดภัยในการเริ่มต้น ไปหาผู้ค้าส่งและหาสินค้ามาขาย แม้คุณจะขาดทุน คุณจะเสียเงินไม่มาก อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณเริ่มหาเงิน มันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจกับความกล้า และได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ของการเริ่มต้นทำธุรกิจเล็กๆ เมื่อมีรายได้มากพอคุณสามารถเริ่มมองหาแผนการลงทุนระยะยาว และลงทุนในหลักทรัพย์ระยะยาวด้วยเงินของคุณและครอบครัวคุณ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเพราะเงินจำนวนนี้ของคุณไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตคุณตกต่ำลง

อย่างไรก็ดี หลังจากคุณดิ้นรนเป็นเวลาผ่านไปหนึ่งปี ถ้าเงินเดือนคุณยังคง 2,000 หยวน นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้มีความก้าวหน้าขึ้นเลย คุณควรจะสำนึกละอายใจและสั่งสอนตัวเองด้วยการไปซื้อซุปเปอร์มาร์เก็ต และซื้อเต้าหู้ที่แข็งที่สุด แล้วเอามันปาใส่หัวตัวเองเพราะคุณสมควรโดนแบบนั้น

แต่ถ้าถึงตอนนั้นรายได้ต่อเดือนคุณอยู่ที่ 3,000 หยวน คุณต้องยังคงทำงานหนัก คุณต้องหางานเสริม จะเป็นการดีถ้าเป็นงานขาย ทำให้การขายเป็นเรื่องท้าทาย เป็นวิธีที่เร็วที่สุดที่คุณจะได้เรียนรู้ศิลปะในการขายและความรู้อย่างลึกซึ้งซึ่งสามารถนำไปใช้กับอาชีพคุณได้ เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเริ่มจากการเป็นนักขายที่ดี พวกเขามีความสามารถในการขายความฝันและวิสัยทัศน์ คุณจะพบผู้คนมากมายที่มีคุณค่าต่ออาชีพของคุณในภายหลัง เมื่อเริ่มขายคุณจะได้เรียนรู้ว่าอะไรขายได้และอะไรขายไม่ได้ ใช้ไหวพริบในการตรวจสอบตลาดเป็นวิธีในการดำเนินธุรกิจของคุณและหาผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นผู้ชนะในอนาคต

ซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าให้น้อยที่สุด คุณสามารถซื้อมันทั้งหมดได้เมื่อคุณรวย ประหยัดเงินของคุณและซื้อของขวัญให้คนที่คุณรักและบอกพวกเค้าถึงแผนการและเป้าหมายทางการเงินของคุณ บอกพวกเค้าว่าทำไมคุณถึงต้องประหยัดอดออม บอกเค้าถึงความพยายาม ทิศทางที่คุณกำลังจะไป และความฝันต่างๆ ของคุณ

นักธุรกิจทุกคนต้องการความช่วยเหลือ ให้คุณเสนอตัวเองต่อพวกเขาในการทำงานนอกเวลาในโอกาสต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยพัฒนาความสามารถของคุณ และคุณจะได้พัฒนาทักษะในการเจรจาของคุณและในไม่ช้าคุณจะใกล้เป้าหมายทางการเงิน เมื่อเข้าปีที่สองรายได้ของคุณควรจะเพิ่มเป็น 5,000 หยวน อย่างน้อยสุดก็ควรจะเป็น 3,000 หยวน มิฉะนั้นคุณจะไม่สามารถสู้กับเงินเฟ้อได้

ไม่ว่าคุณจะหารายได้เพิ่มมาขึ้นเท่าไร จำไว้เสมอว่าแบ่งเงินเป็นห้าส่วน ทำตัวเองให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ จงใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นไปกับการสร้างเครือข่าย เมื่อคุณรู้จักผู้คนมากขึ้นเครือข่ายของคุณขยายมากขึ้นคุณจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น จงใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นไปกับการเรียนรู้เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้น จงใช้เงินเพิ่มขึ้นไปกับการท่องเที่ยวในวันหยุดในที่ใหม่ที่ยังไม่เคยไป จงเพิ่มการลงทุนไปกับอนาคตคุณซึ่งมันจะสร้างรายได้ให้คุณอย่างมหาศาล

รักษาสมดุลนี้ไว้ และคุณจะเริ่มมีเหลือกินเหลือใช้เรื่อยๆ คุณกำลังเดินทางมาถูกทางสำหรับการวางแผนในชีวิต สุขภาพของคุณจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณได้รับสารอาหารและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อนจะมีมากมายคุณจะสามารถสร้างคุณค่าจากเครือข่ายของเพื่อนได้ในเวลาเดียวกัน คุณจะได้รับโอกาสในการฝึกฝนตัวเองในทักษะระดับสูง และคุณจะได้รับผิดชอบโครงการที่ใหญ่กว่าเดิม โอกาสที่ใหญ่กว่าเดิม ในไม่ช้าคุณจะตระหนักว่าคุณมีความฝันมากมาย ซื้อบ้าน ซื้อรถ และเตรียมค่าเล่าเรียนของลูกของคุณ

ชีวิตและเส้นทางชีวิตสามารถออกแบบได้ซึ่งจะนำไปสู่ความสุข คุณควรเริ่มแผนตั้งแต่ตอนนี้ เมื่อคุณจนให้ใช้เวลาอยู่ที่บ้านให้น้อยกว่าการใช้เวลาอยู่ข้างนอก เมื่อคุณรวยอยู่ที่บ้านมากขึ้นอยู่ข้างนอกให้น้อยลง นี่คือศิลปะการใช้ชีวิต เมื่อคุณจนให้ใช้จ่ายเงินไปกับผู้อื่น แต่เมื่อคุณรวยใช้เงินไปกับตัวคุณเอง คนส่วนใหญ่ทำตรงกันข้ามกัน

เมื่อคุณจนจงทำดีกับผู้อื่นอย่ามัวแต่คิดเรื่องผลประโยชน์ เมื่อคุณรวยคุณต้องเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้อื่นดีต่อคุณ คุณต้องเรียนรู้ที่จะทำตัวเองให้ดีกว่าเป็นคนที่ดีกว่าที่เป็น เมื่อคุณจนคุณต้องผลักดันตัวเองออกมาในที่คนอื่นสามารถจะมองเห็นคุณได้เพื่อให้คนอื่นใช้งานและทักษะที่คุณมี เมื่อคุณรวยคุณต้องรู้จักปกป้องตัวเองอย่าปล่อยให้ใครมาหลอกใช้คุณได้ง่ายๆ เป็นความซับซ้อนในเส้นทางของชีวิตที่หลายคนยังไม่เข้าใจ เมื่อคุณจนให้คุณใช้เงินเพื่อทำให้ผู้อื่นรู้จักคุณ แต่เมื่อคุณรวยจงอย่าโอ้อวดว่าคุณรวย ใช้จ่ายเงินของคุณในการซื้อของอย่างเงียบๆ เมื่อคุณจนคุณต้องเป็นคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเมื่อคุณรวยคุณต้องไม่ถูกมองว่าเป็นคนฟุ่มเฟือย ชีวิตของคุณจะวนกลับมาสู่สามัญคุณควรจะอยู่อย่างเรียบง่ายเมื่อคุณมาถึงจุดนี้

ไม่มีสิ่งใดผิดเมื่อคุณยังหนุ่มสาว คุณไม่ต้องกลัวว่าคุณจน คุณต้องรู้วิธีลงทุนในตัวคุณเองที่จะเพิ่มปัญญาและระดับความสำเร็จ คุณต้องรู้ว่าอะไรจำเป็นและไม่สำเป็นต่อชีวิต คุณต้องรู้ว่าอะไรควรหลีกเลี่ยงและไม่จ่ายเงินฟุ่มเฟือยไปกับมัน นี่คือวินัยที่จำเป็นอย่างยิ่ง พยายามหลีกเลี่ยงในการใช้จ่ายเงินไปกับการซื้อเสื้อหลายๆ ชุดแต่รู้จักเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ดูดีเพียงไม่กี่ชุด พยายามกินข้าวนอกบ้านให้น้อยที่สุด ถ้าคุณกินข้างนอกบ้านคุณต้องแน่ใจว่าคุณซื้อมื้อกลางวันหรือมื้อเย็นที่คุณจ่าย คุณจ่ายเพื่อกินกับผู้คนที่มีความฝันใหญ่กว่า ทำงานหนักกว่าคุณ เมื่อการทำมาหากินของคุณไม่เป็นเรื่องที่ต้องกังวลอีกต่อไป ใช้เงินที่เหลือไล่ตามความฝันของคุณ สยายปีกของคุณและกล้าที่จะฝันทำให้คุณแน่ใจว่าชีวิตของคุณเป็นสิ่งวิเศษ ทฤษฎีที่มีชื่อเสียงจากฮาร์วาร์ด ความแตกต่างของโชคชะตาของแต่ละคนถูกตัดสินจากสิ่งที่เค้าจ่ายในเวลาว่างระหว่าง 20.00 น. ถึง 22.00 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมงนี้ในการเรียนรู้ คิด และเข้าร่วมในการเข้าร่วมการบรรยายหรือการสัมมนาที่มีความหมาย ถ้าคุณทำแบบนี้สักปีสองปี ความสำเร็จจะเข้ามาหาคุณ

ไม่สำคัญว่าคุณหาเงินได้เท่าไร จำไว้ว่าแบ่งเงินเป็นห้าส่วน ดูแลตัวเองรักษารูปร่างให้ดีอยู่เสมอ ลงทุนในการเข้าสังคมพบผู้คนใหม่อย่างต่อเนื่องและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้จากคนเหล่านี้ การขยายเครือข่ายทางสังคมจะทำให้รายได้คุณเพิ่มขึ้น เดินทางทุกปีในที่แตกต่างกันออกไป และคอยติดตามการพัฒนาการล่าสุดของโลกอุตสาหกรรมด้วย ถ้าคุณทำตามแผนนี้อย่างขยันขันแข็ง คุณจะมีเงินทุนเหลือมากมาย

อะไรที่ผ่านไปแล้วในอดีตก็ปล่อยให้มันผ่านไป อย่ามัวจมอยู่กับความผิดพลาด ไม่จำเป็นที่จะมัวมานั่งเสียใจกับสิ่งที่สูญเสียไปแล้ว ทุกคนเคยทำผิดพลาด และคุณจะได้เรียนรู้จากมัน และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่พลาดซ้ำอีก เมื่อคุณพลาดโอกาสอย่ามัวเศร้าเสียใจ มีโอกาสใหม่รออยู่ข้างหน้าเสมอ

คุณสามารถที่จะยิ้มรับเมื่อถูกเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ เมื่อคุณทำผิดและคุณยิ้มรับอย่างสงบนั้นคือความใจกว้าง เมื่อคุณถูกเอาเปรียบแต่คุณยังยิ้มได้คุณคือคนใจกว้าง เมื่อคุณทำอะไรไม่ถูกให้คุณค่อยๆ ยิ้มอย่างใจเย็นมันจะทำให้คุณอยู่ในสภาวะที่สงบนิ่ง เมื่อคุณเจ็บปวดคุณสามารถที่จะหัวเราะออกมาดังๆ ได้คุณคือคนใช้กว้าง เมื่อคุณถูกดูหมิ่นเหยียดหยามและคุณยิ้มได้อย่างสงบคุณคือคนที่มีความมั่นใจ เมื่อคุณถูกปฏิเสธในความสัมพันธ์และคุณสามารถยิ้มได้คุณคือคนอ่อนโยน

ยังมีคนอีกจำนวนมากที่จะดิ้นรนเพื่อที่จะมีเงินเพียงพอต่อการใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่มันไม่สำคัญว่าคุณจะรวยหรือจนน นี่คือทั้งหมดของบทเรียนที่คุณได้เรียนรู้จาก ลี กา ชิง


ระวัติโดยย่อของ ลีกาชิง

ลีกาชิง Li Kashing หรือ ในชื่อภาษาจีนว่า ลีเจียเฉิง (李嘉诚) ไม่ได้เกิดมารวยโดยกำเนิด ครอบครัวของเขาเป็นชาวซัวเถา หรือ ที่เรารู้จักกัน คือ คนแต้จิ๋ว ในวัยเด็ก เนื่องจากสมัยนั้นญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีประเทศจีน ในสงครามเอเชียมหาบูรพาในปี 1938 และทางใต้ของประเทศจีนเกิดความขัดสนและขาดแคลน เพื่อพยุงฐานะทางครอบครัวพ่อของเขาจึงหอบหิ้วเขามาหางานทำที่ฮ่องกง เช่นเดียวกับคนจีนหลายๆคนที่อพยพมาอยู่ประเทศไทย ในวัยเด็กเขาจึงเรียนหนังสือได้แค่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แต่ ด้วยความใฝ่ฝันในการศึกษา เขาจึงหาหนังสือมาอ่านเอง จนกระทั่งครั้งหนึ่งเขาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้พ่อเขาฟัง และบอกพ่อของเขาว่า ภาษาอังกฤษไม่ยากเลย พ่อเขาถึงอึ้งและสลด เพราะรู้ว่า ลูกชายใส่ใจในการศึกษา แต่ตัวเองไม่มีปัญญาส่งเสีย ความ ใฝ่ฝันของเขาเคยคิดอยากเป็นหมอ เนื่องจากตอนอายุ 13 ปีตอนที่พ่อเขาจะเสียด้วยโรควัณโรค เขาพยายามหาตำราทางแพทย์มาศึกษาเพื่อรักษาพ่อของเขา ก่อนที่พ่อเขาจะจากไป แทนที่พ่อของเขาจะสั่งเสียเขากลับถามว่าเขามีอะไรจะบอกพ่อของเขา เขาบอกพ่อเขาว่า “ครอบครัวของเขาจะต้องมีชีวิตที่ดีตลอดกาลนาน”
enter image description here ภาพจาก wikipedia

โดยสรุปแบบไม่ยื่นไม่นั่ง(แบบย่อ)

เค้าแนะนำว่าไม่ว่าเราจะมีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ ขอให้แบ่งมันไว้ใช้ 5 ส่วน(ไม่จำเป็นต้องเท่ากัน)คือ
  1. เงินทุนสำหรับการใช้ชีวิตค่าใช้จ่ายส่วนตัว
  2. เงินทุนสำหรับเอาไว้สร้างเพื่อน หรือ ความสัมพันธ์กับผู้อื่น
  3. เงินทุนสำหรับความรู้
  4. เงินทุนสำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศในวันหยุด
  5. เงินทุนสำหรับนำไปลงทุน
จากการแบ่งเงินทุนเป็น 5 ส่วนนั้นหลายๆคนอาจจะมองว่าต้องใช้เงินเยอะมากในการแบ่งออกเป็น 5 ส่วนนี้ให้ได้ อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่า “เงินเก็บทุกเดือนยังจะไม่มี” “จะใช้ทุกเดือนยังไม่พอ” “ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง” “เป็นไปไม่ได้เงินเดือนน้อยๆ อย่างเราจะไปต่างประเทศได้” และอื่นๆ ที่เป็นเหตุผลทางด้านการเงิน
แต่นี้คือคำแนะนำจากคนที่ไม่มีเงิน และกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จทางด้านการเงินอย่างมาก “ทำไมเราถึงให้เหตุผลข้างต้น(ข้ออ้าง) มาบอกว่าเราจะทำไม่ได้”
ถ้าเรื่องนี้น่าสนใจลองมาศึกษาต่อดูในรายละเอียดที่ ลีกาชิง อธิบายไว้

แบบละเอียด

เค้าเริ่มต้นด้วยการบอกว่า สมมุติว่าคุณมีเงินเดือน RMB 2,000 (หรือประมาณ 1 หมื่นบาท) เค้าจะช่วยคุณแบ่งเงินนี้เป็น 5 ส่วน
  1. RMB $600 (3,000 บาท)
  2. RMB $400 (2,000 บาท)
  3. RMB $300 (1,500 บาท)
  4. RMB $200 (1,000 บาท)
  5. RMB $500 (2,500 บาท)
โดยแต่ละส่วนจะถูกแบ่งไปใช้ต่างกัน จากจำนวณเงินข้างต้น ตีเป็นเงินไทย 1 หมื่นบาทนั่น ถือว่าน้อยพอสมควรสำหรับเงินเดือนของคนยุคนี้ หรือถ้าเป็นในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพ 1 หมื่นอาจจะถึอว่าน้อยมากเลยก็ได้
ต่อมาเรามาดูกันว่าทำไมเค้าถึงแบ่งเงินเป็น 5 ส่วนนี้แล้วเค้าคิดยังไงถึงคิดว่าเงิน 5 ส่วนนี้มันพอดีและจำเป็นต้องมีทั้ง 5 ส่วน และเน้นย้ำว่าไม่ว่าจะมีเงินเดือนเท่าไหร่ก็ขอให้แบ่งเป็น 5 ส่วนเสมอ

1. เงินทุนสำหรับการใช้ชีวิตค่าใช้จ่ายส่วนตัว RMB $600 หรือ 3,000 บาท

เค้าบอกว่ามันง่ายมากๆเลยที่เราจะใช้จ่ายวันละ $20 หรือ 100 บาท สำหรับค่าอาหาร
  • เช้า : กินบะหมี่(มาม่านี้เอง) กับไข่ แล้วนม 1 แก้ว (มาม่า 10 บาท + ไข่ 5 บาท + นมขวดใหญ่ 20 บาท กินได้ 2 มื้อ = 35 บาท)
  • เที่ยง : อาหารว่างง่ายๆ กับ ผลไม้ (ขนมปัง 15 บาท + ผลไม้ 20 บาท)
  • เย็น : ทำกินเองพวก สลัด (สลัด 30 บาท อันนี้ไม่ต้องทำกินเอง ชื้อกินก็ได้)
  • ก่อนนอน : นม 1 แก้ว (ไม่ต้องชื้อ ขวดเมื่อเช้ายังกินไม่หมด)
ถึงจะดูน้อยไปหน่อยแต่ก็ครบ 5 หมู่ ราคาอาจจะถูกได้มากกว่านี้แต่อันนี้คำนวณแบบคราวๆ ( นี้มันอาหารลดน้ำหนักหรือยังไงเนี่ย) แต่ถ้าใครมีเงินเดือนเกิน 1 หมื่นถ้าแบ่งสัดส่วนตามนี้ก็อาจจะได้กินแพงกว่านี้ ดีกว่านี้อีกหน่อย
เค้าเสริมต่อว่าการกินแบบนี้ 2-3 ปีถ้าเรายังวัยรุ่นอยู่ก็ยังคงไม่มีปัญหาสุขภาพมาก ( เป็นการมองโลกในแง่ดีแต่ก็พอได้ )
แต่สำหรับท่านที่บอกว่า เห้ย 3000 บาทต่อเดือนจะพอได้ไงทั้งค่ากินค่าที่พัก ที่พัก 1000-1500 บาทต่อเดือนใน กรุงเทพนั้นยังมีอยู่เยอะ ก็จะเหลือเป็นค่ากินได้ วันละ 50 บาท ซึ่งถ้าวางแผนดีๆก็พออยู่ได้ หรือถ้าใครไม่เชื่ออีก ก็ขอให้ไปอ่านนี้ ผมมีอะไรเล่าให้ฟัง ….กับเงิน 800 บาทกินทั้งเดือน…… สำหรับคนที่ท้อแท้หาทางออกกับชีวิตไม่ได้
แน่นอนว่าต้องมีเสียงตามมาว่าทำไมต้องลำบากอะไรขนาดนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากประสบความสำเร็จ เราอยากจะก้าวกระโดดออกไปจากจุดที่ยื่นอยู่หรือเปล่า ถ้าอยาก ก็ลองทำตามคำแนะนำนี้ดูก็ได้
สำหรับเงินทุนส่วนแรกนั่นเชื่อว่าเป็นส่วนที่ยากที่สุดและถ้าคิดว่าทำข้อแรกได้ เชิญอ่านข้อต่อไป

2. เงินทุนสำหรับเอาไว้สร้างเพื่อน หรือ ความสัมพันธ์กับผู้อื่น RMB $400 หรือ 2000 บาท

ค่าใช้จ่ายนี้อาจจะรวมไปถึงค่าโทรศัพท์ประมาณ $100 หรือ 500 บาท และที่เหลือเราสามารถเลี้ยงข้าวเที่ยงเพื่อนเราได้ 2 มื้อ ต่อเดือน ในราคา $150 หรือ 750 บาท (ราคานี้ข้าวเย็นเลยก็ยังได้ แต่ถ้าเลี้ยงข้าวเที่ยงก็คงหรูพอสมควร)
………….คำถามต่อมาคือ……….แล้วใครละที่เราควรจะเลี้ยง…….???
เค้าบอกว่าจะต้องเป็นคนที่ มีความรู้มากกว่าเรา รวยกว่าเรา หรือ คนที่ช่วยงานเราในสายอาชีพ และเราต้องไม่ลืมที่จะทำแบบนี้ทุกๆเดือน
และหลังจากผ่านไป 1 ปี จะการันตีได้เลยว่าความสัมพันธ์ของคุณจะดีมากขึ้นและมีค่าสำหรับคุณ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง แรงจูงใจ หรือ คุณค่าของคุณจะได้การยอมรับอย่างชัดเจน นอกจากนี้คุณจะต้องเพิ่มภาพลักษณ์ของคุณด้วยการเป็นคนดีและใจกว้าง
ข้อนี้อาจจะดูทำยากซักนิดในการที่เราจะพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเอง ข้อนี้เงินจึงไม่ใช่ปัญหาหลัก ด้วยจำนวณ 2000 บาทต่อเดือน อาจจะแบ่งได้เป็น 4 มื้อเลยก็ว่าได้ มื้อละ 500 บาท

3. เงินทุนสำหรับความรู้ RMB $300 หรือ 1500 บาท

แต่ละเดือนเราต้องใช้เงินประมาณ 500 บาท เพื่อชื้อหนังสือดีๆซักเล่ม เพราะเราไม่มีเงินเยอะมาก ฉะนั้นเราจึงต้องตั้งใจอ่าน เรียนรู้กับมันให้ได้มากที่สุด ทั้งบทเรียนและยุทธศาสตร์ต่างๆที่ได้สอนในหนังสือ ( ในที่นี้น่าจะหมายถึง หนังสือเกี่ยวกับการขาย หรือการตลาด เรามาประยุกต์ใช้ได้ โดยอ่านหนังสือที่พัฒนาความรู้เกี่ยวกับ สายอาชีพของเรา )
หลังจากอ่านเรียบร้อยแล้วให้พยายามทำให้เป็นในรูปแบบของเราเอง
แล้วนำความรู้ที่อ่านมาไปแบ่งปันให้ผู้อื่น และยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือ และเพื่มความสัมพันธ์ กับผู้อื่นอีกด้วย และนี้ก็ทำให้คุณประหยัดค่าเรียน หรือ คอร์สฝึกอบรมต่างๆในแต่ละเดือน ไปได้อีกด้วย
และอีก 1000 บาทเราก็สามารถไปงานอบรมหรืองานสัมมนา ที่เราสนใจและเพิ่มความรู้ให้เราได้
และถ้าเรามีเงินเดือนมากขึ้น ก็ต้องหาคอร์ส หรือที่เรียนที่ให้ความรู้ในระดับที่ยากขึ้น
เพราะมันไม่ใช่แค่ว่าคุณได้ความรู้ที่ดีขึ้นเท่านั่น แต่มันก็ทำให้คุณได้เจอกับเพื่อนใหม่ๆอีกด้วย (ตัวอย่างเช่นการเรียนต่อ ป. โท การหาคอร์สอบรมทางธุรกิจ และอื่นๆ)
จากคำแนะนำในส่วนที่สามนี้ จะสังเกตได้ว่า เรามีเงินเดือนแค่ 1 หมื่นบาทต่อเดือน เราก็ยังหาความรู้ได้ และลีกาชิงก็ยังให้ความสำคัญการการหาความรู้มากๆ ที่จะต้องแบ่งเงินส่วนนี้ออกมา
ในส่วนนี้เราสามารถเริ่มง่ายๆด้วยการออกไปเดินตามร้านหนังสือ หาหนังสือที่อยู่ในสายงานเราหรือ เรื่องที่เราสนใจมาอ่านเพื่อเพิ่มความรู้ได้

4. เงินทุนสำหรับการท่องเที่ยวต่างประเทศในวันหยุด RMB $200 หรือ 1000 บาท

เป็นการให้รางวัลกับตัวเองที่จะได้ไปเที่ยวต่างระเทศปีละครั้ง เพื่อสร้างประสบการณ์ต่างๆให้กับตัวเองเพียงไม่กี่ปีคุณก็จะได้เดินทางไปหลายๆประเทศ พร้อมกลับประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป และก็เป็นการไปแวะพักเพิ่มพลังให่้กับตัวเอง เพื่อที่จะได้มีกำลังและความมุ่งมั่นในการทำงานต่อไป
อ่านมาถึงตรงนี้คงจะบอก เห้ย! 12,000 บาท (1,000 บาท x 12 เดือน) จะไปเที่ยวประเทศไหนได้ แนะนำให้ลองเข้าไปหาใน pantip.com ครับเยอะแยะมากมาย ยกตัวอย่างเช่น รีวิว เที่ยว มาเลเซีย แบบประหยัด กับโปร AirAsiaGo 2,500 บาท งานนี้หมดไป 6 พันบาท เชื่อว่าในแถบเอเชียนี้สำหรับเงิน 12,000 บาท ถ้าวางแผนดีๆก็สามารถเที่ยวได้หลายที่ สมมุติว่าเราเที่ยว 5 ปี 5 ประเทศถึงตอนนั่นก็คงมีเงินมากว่านี้ก็เพิ่มเงินเก็บ เปลี่ยนไปเที่ยว ยุโรปแทนได้

5. เงินทุนสำหรับไปนำลงทุน RMB $500 หรือ 2500 บาท

เงินส่วนนี้เป็นเงินเก็บทุกเดือน เป็นเหมือนเงินทุนและเงินที่ใช้ในการเริ่มต้นกับธุรกิจเล็กๆ ธุรกิจเล็กๆเป็นธุรกิจที่ปลอดภัย ไปที่ร้านขายส่งแล้วหาสินค้ามาขาย ถึงแม้ว่าเราจะขาดทุนแต่ก็จะไม่มากนัก และเมื่อคุณเริ่มขายได้ ก็จะเริ่มมีกล้าและความมั่นใจในการขาย และก็จะได้ประสบการณ์ใหม่ๆในการจัดการกับธุรกิจขนาดเล็ก และเมื่อคุณขายมันได้มากขึ้น ก็จะต้องเริ่มการลงทุนในระยะยาว เพื่อความมั่นคงทางด้านการเงินในระยะยาว เพื่อที่ว่าไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะมีเงินเพียงพอและมีคุณภาพชีวิตที่จะไม่ลดลง

แบ่ง 5 ส่วนแล้วยังไงต่อ?

ลีกาชิงบอกว่า
หลังจาก 1 ปีของการต่อสู้กับสิ่งต่างๆ แล้ว;เงินเดือนของคุณยังคงอยู่ที่ RMB 2,000 หรือ 1 หมื่นบาท นั่นหมายความว่าคุณยังเหมือนเดิมไม่ได้โตขึ้น และน่าจะต้องอายกับตัวเอง หลังจากนั่นก็ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำแล้วก็ไปทีซูเปอร์มาร์เก็ต หาเต้าหู้ที่แข็งที่สุด มาฟาดหัวตัวเอง เพราะว่าคุณสำควรที่จะได้รับมัน(โหดมาก)
อันที่จริงเค้าน่าจะหมายถึงว่าในเมื่อให้นำเงิน ในส่วนที่ 5 ไปลงทุนผ่านไป 1 ปีมันน่าจะต้องได้ รายได้มากขึ้น
เค้ายังบอกต่อว่า ถ้าเกิดคุณได้ RMB 3,000 หรือ 15,000 บาทต่อเดือนแล้ว คุณยังต้องทำงานให้หนักกว่าเดิมอีก โดยการหางาน part-time ทำ และจะดีมากถ้าได้ทำงานทางด้านการขาย เพราะงานขายเป็นงานที่ท้าทาย และเป็นสิ่งที่ไวที่สุดในการเรียนรู้ ศิลปะในการขาย และนี้จะเป็นความสามารถที่สำคัญที่สุดที่จะใช้ตลอดชีวิตของการขาย
และทั้งหมดของผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จนั่น จะเก่งในการขาย เค้าสามารถขายจะความฝันหรือมุมมอง ให้ผู้อื่นได้
พยายามที่จะชื้อเสื้อผ้า และรองเท้าให้น้อยที่สุด คุณจะชื้อทุกอย่างที่ต้องการได้ตอนคุณรวยแล้ว เก็บเงินและชื้อของขวัญ ให้กับคนที่คุณรักและ บอกเค้าถึงแผนการและการเงินที่ได้ตั้งเป้าไว้ บอกเค้าว่าทำไมถึงต้องประหยัด บอกเค้าถึงความพยายาม ทิศทาง และความฝันของคุณ
นักธุรกิจทุกที่ต้องการความช่วยเหลือ พยายามพาตัวคุณเองไปอยู่ในโอกาสต่างๆที่เข้ามา นี้จะเป็นส่วนที่ทำให้คุณพัฒนาความสามารถ แล้วคุณจะเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงินมากขึ้น ในปีที่ 2 คุณต้องเพิ่มเงินให้ได้ถึง RMB 5,000 (25,000 บาท) อย่างน้อยคือ RMB 3,000 (15,000 บาท) มิฉะนั้นคุณจะไม่สามารถที่จะเพิ่มเงินให้ทันกับอัตราเงินเฟ้อได้
ไม่ว่าคุณจะได้เงินเท่าไหร่ ต้องจำไว้เสมอว่าให้แบ่งเป็น 5 ส่วน แต่ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์เสมอ เพิ่มการลงทุนทางสังคมเพิ่มคนรู้จัก รายได้ของคุณก็จะโตไปด้วย เพิ่มการลงทุนด้านความรู้ สร้าความมั่นใจในตัวคุณ เพิ่มการลงทุนไปกับการท่องเที่ยว และเพิ่มการลงทุนเพื่ออนาคต ทั้งหมดนี้ จะเป็นการเพิ่มรายได้ของคุณอย่างมากๆ
รักษาทั้งหมดนี้ไว้ ในไม่ช้าคุณก็จะเริ่มมีมันเยอะเกินไป และนี้ก็เป็นวงจรของชีวิต
หลังจากที่เราอดทนลำบากใช้ร่างกายหนักมานาน ร่างกายเราก็จะค่อยๆดีขึ้น เพราะเราไดรับสารอาหารที่มีประโยชน์และการดูแลที่ดี เพื่อนจะมีมากมายและคุณจะเริ่มทำให้ความสัมพันธ์มีคุณค่ามากขึ้นไปด้วยในเวลาเดียวกัน คุณจะมีโอกาสได้เข้าร่วมไปในงานต่างๆที่ใหญ่ขึ้น โครงการที่ใหญ่ขึ้น และโอกาสที่มากกว่าเดิม และในไม่นานคุณก็จะรู้สึกได้ว่าจำเป็นที่จะต้องชื้อบ้านชื้อรถของตัวเอง และเพื่อเตรียมพร้อมเป็นทุนการศึกษาให้กับลูกๆของคุณ

คำแนะนำปิดท้ายเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของ ลีกาชิง

Life can be designed. Career can be planned. Happiness can be prepared. You should start planning now. When you are poor, spend less time at home and more time outside. When you are rich, stay at home more and less outside. This is the art of living. When you are poor, spend money on others. When you’re rich, spend money on yourself. Many people are doing the opposite.
ชีวิตสามารถออกแบบได้ อาชีพสามารถวางแผนได้ ความสุขที่ต้องเตรียมพร้อม คุณต้องเริ่มวางแผนตอนนี้ เมื่อคุณจน ใช้เวลาในบ้านให้น้อยๆ ออกนอกบ้านให้เยอะๆ เมื่อคุณรวย ใช้เวลาในบ้านเยอะๆ ข้างนอกน้อยๆ นี้คือศิลปะของการมีชีวิต เมื่อคุณจน จงใช้เงินเพื่อคนอื่น และเมื่อคุณรวย จงใช้เงินเพื่อตัวคุณเอง แต่คนส่วนใหญ่ชอบทำตรงกันข้าม
When you are poor, be good to others. Don’t be calculative. When you are rich, you must learn to let others be good to you. You have to learn to be good to yourself better. When you are poor, you have to throw yourself out in the open and let people make good use of you. When you are rich, you have to conserve yourself well and don’t let people easily make use of you. These are the intricate ways of life that many people don’t understand.
เมื่อคุณจน จงทำดีกับคนอื่น (อย่าหวังผลตอบแทน) เมื่อคุณรวย คุณต้องเรียนรู้ที่จะให้คนอื่นดีกับคุณ แต่คุณควรจะเรียนรู้ที่จะดีกับตัวเองมากกว่า เมื่อคุณจน คุณต้องออกไปข้างนอกแล้วให้คนอื่นใช้คุณให้เป็นประโยชน์ แต่เมื่อคุณรวย คุณต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้ใครมาใช้คุณได้ง่ายๆ นี้เป็นเรื่องซับซ้อนของชีวิต ที่หลายๆคนไม่เข้าใจ
When you are poor, spend money so that people can see it. When you are rich, do not show off. Just silently spend the money on yourself. When you are poor, you must be generous. When you are rich, you must not be seen as a spendthrift. Your life would have come full circle and reach its basics. There will be tranquility at this stage.
เมื่อคุณจน ใช้เงินให้คนอื่นเห็นมัน เมื่อคุณรวยอย่าแสดงออกไป อยู่เงียบๆใช้เงินเพื่อตัวเอง เมื่อคุณจน คุณต้องเป็นคนใจกว้าง เมื่อคุณรวย คนต้องไม่มองว่าคุณฟุ่มเฟือย ชีวิตของคุณก็จะครบวงจร และกลับมาสู่พื้นฐาน นี้จะเป็นจุดที่เข้าสู่ความราบรื่นในชีวิต
ไม่มีอะไรผิดพลาดในความเป็นวัยรุ่น คุณไม่ต้องกล้วความจน คุณต้องรู้ว่าจะลงทุนให้กับการเพิ่มความรู้และความสำเร็จ ให้กับตัวเองได้อย่างไร คุณต้องรู้ว่าอะไรสำคัญในชีวิต และ ดีที่จะลงทุน คุณต้องรู้ว่าอะไรที่ต้องหลีกเลียง และต้องไม่ไปเสียงเงินกับมัน นี่คือสาระสำคัญของระเบียบวินัย
พยายามที่จะไม่ใช้เงินในการชื้อเสื้อผ้าบ่อย แต่ให้ชื้อของที่มีระดับ พยายามกินข้าวนอกบ้านให้น้อยลง ถ้าต้องเลี้ยงข้าวเย็นใครซักคน ต้องเลี้ยงคนที่ มีความฝันมากกว่าคุณ ทำงานหนักมากกว่าคุณ
Once your livelihood is no longer an issue, use the remainder of your money to pursue your dreams. Spread your wings and dare to dream! Make sure you live an extraordinary life!
เมื่อการทำมาหากินของคุณไม่มีปัญหา ใช้ส่วนที่เหลือของเงินของคุณที่จะไล่ตามความฝันของคุณ กางปีกของคุณและกล้าที่จะฝัน! ให้แน่ใจว่าคุณมีชีวิตที่พิเศษ
ทฤษฎีที่มีชื่อเสียงจากฮาร์วาร์ด: ความแตกต่างของชะตากรรมของคนที่จะตัดสินใจ ใช้เวลาในเวลาว่างของเขาระหว่าง 20:00-22:00 ใช้เหล่านี้สองชั่วโมงในการเรียนรู้คิดและมีส่วนร่วมในการบรรยายความหมาย ของบทเรียนหรือ การอภิปราย หากคุณยังทำต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ความสำเร็จจะมาเคาะประตูของคุณ
ไม่ว่าจะเกิด อะไรขึ้นในอดีต จงอย่ายึดติดกับความผิดพลาดนั่น มันไม่สำคัญ คนทุกคนสามารถที่จะผิดพลาดได้ มันขึ้นกับว่าคุณได้เรียนรู้อะไรจากมัน และ สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ผิดพลาดอีก เมื่อคุณพลาดโอกาสไป จงอย่าไปยึดติดกับมัน เพราะมันจะมีโอกาสใหม่ เข้ามาเสมอ
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ได้เรียนรู้จาก ลีกาชิง เราสามารถที่จะนำมันไปปรับใช้ในรูปแบบของตัวเราเองได้ เหมือนอย่างในส่วนที่ 3 ที่เค้าบอกว่าเมื่อเข้าใจแล้วให้ทำให้มันเป็น ในแบบของเราเอง
และเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แปลว่าอ่านจบแล้วก็ขอให้ นำทั้งหมดไปปรับใช้เลย ดีกว่าอ่านแล้วผ่านไป…
ขอบคุณครับ

ที่มา http://hackerlife.in.th/li-kashing/
ที่มา http://thaiinfonet.com
ที่มา http://millionrich.blogspot.com
ที่มา http://share.psu.ac.th/blog/sec-discussion/37268
ที่มา ที่มา : uttaya.comแปลบทความจาก : therealsingapore.com
ที่มา ที่มา
หนังสือคิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย
http://pantip.com/topic/31699257/story

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

*ฝันให้ไกล มีสุขไปด้วยปัญญา


ฝันให้ไกล มีสุขไปด้วยปัญญา

1. รากฐานแห่งรักที่มั่นคงของครอบครัว สำคัญกว่าความมั่งมีที่ฉาบฉวยบนกองทรัพย์สิน...

หาความรักที่แท้จริงให้พบ ก้าวเดินไปพร้อมกันด้วยความเข้าใจบนทุกเส้นทาง ...
แม้จะอ้างว้างในความมั่งมีอยู่บ้าง แต่ความสุขจะก่อร่างตั้งแต่ออกเดินทาง
ความรักจะช่วยขจัดขวากหนามจนถึงวันสุขสม...
หากสร้างความรักบนพื้นฐานทรัพย์สินเกื้อกูล หลายคนต้องออกเดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยกับหน้ากากที่ต้องแบกไว้ หลายคนหลายคู่ไปถึงปลายทางอย่างขาดแคลน อ้างว้าง เป็นทุกข์.

2. น้ำใจ สำคัญกว่าน้ำเงิน...

เป็นคนที่มีน้ำใจ ไม่จำเป็นต้องเริ่มเมื่อมั่งมีเกินพอ...
มีน้อย แต่แบ่งปัน ดีกว่ามีมาก แต่ไม่เคยคิดเผื่อแผ่...
สังคมเล็กๆที่เอื้อเฟื้อ เจริญสุขอิ่มใจ งดงามกว่าตึกรามบ้านช่องใหญ่โตทันสมัยแก่งแย่งกอบโกย...
คนยากจนที่มีน้ำใจ มีชีวิตอย่างมีความสุข เมื่อจากไป ชื่อเสียงคงกล่าวขานชื่นชมนานเนิ่น...
คนมั่งมีไม่รู้พอ อยู่ก็เป็นทุกข์ อิจฉา ขาดแคลน สุดท้ายจากไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง.

3. บ้านต้องเป็นสถานที่ๆมีความสุขที่สุด...

หลายคนดิ้นรนทุกทางที่จะออกจากบ้านเพื่อหาความสุข...นั่นคือการสูญเสียพื้นฐานชีวิตที่ดีอย่างน่าเสียดาย...
ก่อนสร้างสมบัติอย่างอื่น โปรดสร้างบ้านให้เป็นที่ๆอยากอยู่ที่สุดในทุกโอกาส ...
บ้านเล็กๆที่พร้อมไปด้วยความร่มเย็นทางจิตใจเพราะครอบครัวที่รักและเข้าใจกัน ทั้งยังร่มรื่น สงบเย็นไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ดี..จะทำให้คุณ เป็นคนที่มีความสุขยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก.

4. คนมีน้ำใจ คนมีคุณธรรมส่วนหนึ่งดูได้จากการขับรถ...

คนมารยาทดีๆ สุภาพเรียบร้อย หลายคนเผยธาตุแท้ แปลงร่างเป็นคนก้าวร้าว หยาบคายทันทีหลังจับพวงมาลัย...
แต่คนมีน้ำใจ มีคุณธรรม ก็ยังคงรู้จักหยุดให้คนข้ามถนน หรือเอื้ออาทรมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทางในจังหวะที่เหมาะอยู่เสมอ...
ครั้งต่อไป จะหาเพื่อนแท้หรือคู่ชีวิต ให้เขาหรือเธอขับรถพาชมกรุงเทพสักรอบก่อนตัดสินใจ.

5. หาเก่ง แพ้ใช้เก่ง!...

หลายคนหาเงินเก่ง แต่เมื่อเป็นคนใช้เก่ง ผลสุดท้าย เหนื่อยเปล่า...
คนตั้งตัวได้ คือคือคนที่ใช้จ่ายอย่างสมเหตุผล รู้จักเก็บหอมรอมริบ รู้จักการต่อยอดลงทุน...ดั่งปรัชญาพอเพียงแห่งพระราชา...
ลองย้อนดูประวัติคนรุ่นเก่าหลายคนที่ตั้งตัวได้จนเป็นตำนาน...มีบทเริ่มต้นทำงานหาเงินจากการเป็นกุลีขายแรงงานเท่านั้น.

6. ไม่อยากเป็นลูกจ้างที่อยู่ในกรอบไปทั้งชีวิต ต้องเริ่มเตรียมตัวแล้วนะ..

หลายคนมีฝัน อยากมีวิถีชีวิตอิสระ อยากได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของกิจการ...แต่ยิ่งเป็นลูกจ้างนานเท่าใด กำแพงเงินเดือนยิ่งสูงจนปีนข้ามไม่ถึง หรือสูงจนหมดทางลง...
ดังนั้นการหาวิชาชีพติดตัวไว้ระหว่างทำงาน จึงเท่ากับการสร้างบันไดไว้ปีนลงจากกำแพง...
เมื่อถึงเวลา เครื่องมือที่มีค่าที่สุด คือความรู้ในวิชาชีพที่อยากตั้งตัว บวกความตั้งใจจริง หาใช่เงินทุนล้นเหลือเกินจำเป็น...
มีเงินทุนก้อนเล็กๆ มีวิชาชีพที่ฝัน มีความตั้งใจ...แล้วจะมัวรออะไร?...
โลกแห่งความสำเร็จและอิสระ กวักมือรอคุณอยู่นะเออ.

ความสำเร็จยิ่งใหญ่ใดๆ ย่อมไร้ความหมายถ้าสุดท้ายครอบครัวล้มเหลว....
ระหว่างทางสร้างความสำเร็จ จงให้ครอบครัวได้ก้าวเดินไปพร้อมกัน...
อย่าปล่อยให้ตัวเราเดินหน้าอย่างโดดเดี่ยว
อย่าปล่อยให้ครอบครัวรอคอยอย่างอ้างว้าง...
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สวยงาม ต้องมีครอบครัวยืนยิ้มเคียงข้าง...จึงเรียกได้ว่า "สำเร็จที่เป็นสุข"...
หรือหากล้มเหลว ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย หากมีครอบครัวอ้าแขนประคอง...แถมยังอาจเรียกได้ว่า "ความล้มเหลวที่เปี่ยมสุข".

*เปลี่ยนงานใหม่ไหม..ดีไหม.?



คุณควรเปลี่ยนงานใหม่ไหม..?
1. คุณรู้สึกอย่างไรกับบริษัทในตอนนี้เป็นยังไง?
ก. กำลังอยู่ในช่วงขาลง
ข. เหมือนกางเกงในที่คับติ้ว ใส่แล้วอึดอัดมาก
ค. มั่นคงดั่งดอยสุเทพ
ง. เหมือนกางเกงยีนส์ตัวเก่าที่ใส่แล้วแสนจะสบาย
2. เวลาที่คุณมีผลงานให้กับบริษัท คุณได้อะไรตอบแทน?
ก. ตบบ่า2-3ที แล้วก็ยกนิ้วโป้งให้(นายเยี่ยมมาก)
ข. ล้อเล่นน่า บริษัทนี้จะมีผลงานของชั้นได้ยังไง มีแต่คนประจบสอพลอเท่านั้นที่มีผลงาน โธ่เอ๊ย!
ค. บริษัทนี้ไม่เคยมีคำว่า “ผลงาน” สำหรับพนักงานทุกคน
ง. ตื่นเต้นๆ รูปผมถูกติดอยู่ในบอร์ดพนักงานดีเด่น แถมได้รางวัลอีกด้วยนะสิ
3. ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเจ้านายเป็นอย่างไร?
ก. หนูเหมือนพจมานกับคุณหญิงแม่ในละครบ้านทรายทอง
ข. เจ้านายอย่างนี้นะเหรอ หนูก็เป็นได้
ค. หนูไม่ได้เจอเจ้านายมาเป็นอาทิตย์แล้ว
ง. เจ้านายของหนูดีนะ ท่านเป็นคนยุติธรรมและมีน้ำใจเยี่ยมเลยค่ะ
4. งานที่คุณรับผิดชอบอยู่ในขณะนี้คือ?
ก. ผมรอให้ถึงเวลาเลิกงานเร็วๆ จะได้หลุดจากคุกนี่ได้ซะที
ข. มันก็ดีนะ ทำบ้างไม่ทำบ้าง ผมก็ได้เงินเดือนอยู่ดี
ค. มันยากนะ ผมรู้สึกท้อเหมือนกัน
ง. มันท้าทายมาก ผมชอบ
5. สำหรับเพื่อนร่วมงาน เขาทั้งหลาย.....
ก. สนใจเรื่องของอั๊วมากกว่าเรื่องของบริษัทซะอีก
ข. ยุ่งกว่าพ่อแม่อั๊วที่บ้านไม่รู้เท่าไหร่
ค. ยามที่อั๊วงานเยอะ พวกเค้าไม่เคยสนใจช่วยอั๊วเลย
ง. เป็นมิตรที่ดีมากๆ ทั้งคอยช่วยเหลือและคอยให้คำแนะนำ
6. คุณรู้สึกอย่างไรกับหลักประกันของบริษัท?
ก. ข้าเจ้าคิดว่ามันไม่ปลอดภัยเลยสำหรับชีวิตข้าเจ้า
ข. ข้าเจ้าคิดว่า ข้าเจ้าคงรอดยากเจ้าค่ะ
ค. มันก็เหมือนน้ำประปาบนดอยเจ้าค่ะ มาผ่องบ่มาผ่องเจ้า
ง. มันเลิศมากแต๊ๆเจ้า มั่นคงแต๊ๆเจ้า
7. นอกจากงานที่ทำแล้ว คุณมีความรู้สึกดีต่อบริษัทไหม? และสิ่งนั้นมีส่วนหนุนงานของคุณหรือเปล่า?
ก. มี แต่มันไม่เกี่ยวกับงานที่ทำเลยแม้แต่น้อย
ข. NO! ไม่มี
ค. มีสิครับ ไม่งั้นผมจะอยู่จนถึงป่านนี้ได้ยังไง?
8. ความสามารถของคุณ
ก. สม่ำเสมอไม่เปลี่ยนแปลง
ข. ยิ่งมายิ่งลงคลอง
ค. ยิ่งมายิ่งยอดเยี่ยม
9. คุณคิดว่าอุปนิสัยของคุณ มีส่วนช่วยสนับสนุนหน้าที่การงานหรือไม่?
ก. ไม่เคยคิด
ข. ไม่มี
ค. มี
ผลการนับคะแนน
เลือกข้อ ก เท่ากับ 1 คะแนน
เลือกข้อ ข เท่ากับ 2 คะแนน
เลือกข้อ ค เท่ากับ 3 คะแนน
เลือกข้อ ง เท่ากับ 4 คะแนน
ลองรวมดูและใส่คะแนนลงในช่องคอมเม้นท์นะครับ เดี๋ยวมาเฉลยในคอมเม้นท์เช่นกันครับ
นุสนธิ์บุคส์

คลิกดูคำเฉลย ได้ที่นี่ คลิกเลย
ขอบคุณที่มา :  https://www.facebook.com/NusonBooks
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/NusonBooks

Follow Us On