วิธีลงทุนกับความรู้หลักพันหลักหมื่น
ต่อยอดสู่รายได้หลักล้าน เป็นไปได้!
ผมพบว่าหลายคนรักการอ่าน และรักการเข้าสัมมนา แต่ไม่น้อยที่ยังไม่มีผลลัพธ์ บางคนยังไม่มีผลลัพธ์ก็หาข้อมูลต่อไป แต่บางคนยังไม่มีผลลัพธ์และเกิดหมดศรัทธาในการศึกษา
ผมจึงมาแชร์ว่า ผมชอบอ่าน ชอบฟังสิ่งที่อยู่ในความสนใจโดยมีเป้าหมายว่าเรียนรู้ไปแล้วต้องนำไปใช้ให้เกิดผลตอบแทนจากการลงทุนกับความรู้นั้นๆ ด้วย ยกตัวอย่าง สัมมนาที่ผมจ่ายเงินเข้าเรียนเองประมาณ 3-4 งานสัมมนา ใช้เงินหลักพันกลางๆ ต่อหนึ่งงาน ได้ผลลัพธ์กลับมาเป็นเงินหลายแสนบาทภายในปีเดียวกัน เป็นต้น และต่อไปนี้คิดหลักคิดและวิธีสร้างผลลัพธ์จากการศึกษานอกระบบโรงเรียนครับ
ความรู้หลักหมื่น คืออะไร?
หนังสือ, หนังสือเสียง, คอร์สเรียนออนไลน์, สัมมนาสด ฯลฯ เหล่านี้คือการลงทุนกับความรู้ แต่ละผลิตภัณฑ์ทางความรู้จะมีราคาระหว่าง 200-500 บาทสำหรับหนังสือ และหลักพันบาทสำหรับสัมมนา เมื่อซื้อบ่อยๆ ตลอดระยะเวลาหลายปีก็อาจมียอดซื้อสะสมเป็นหลักหลายหมื่นบาท บางคนงบเยอะก็อาจใช้เงินซื้อความรู้รวมเป็นแสนบาท เป็นต้น
ในช่วงที่ยังไม่มีผลลัพธ์ก็ถูกคนแซวบ่อยว่า “ซื้อแต่หนังสือ..ซื้อแต่หนังสือ รวยหรือยัง” ผมก็ต้องเอาหูทวนลมครับ เป้าหมายใหญ่กว่าจะให้ผลลัพธ์ต้องอาศัยเวลาหลายปี คนมองไม่เห็นทันทีก็ยากจะเข้าใจคุณครับ มีแต่ตัวคุณเองต้องรู้ตัวเองและชัดเจนว่ากำลังทำอะไรและจะไปทางไหน
วิธีนำความรู้ที่อ่านและฟังไปผลิตเงินล้าน
ผมเอาหนังสือตลอดกาลมาแชร์ลงพันทิพในชื่อกระทู้ 7 หนังสือเปลี่ยนชีวิต ใช้ได้จริงจนเกิดผลลัพธ์ทางการงานและธุรกิจ เหล่านี้ถือเป็นหนังสือที่มีคุณแก่ชีวิตผมเพราะให้ข้อมูลสำคัญที่นำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตจนเกิดผลลัพธ์
1. เรียนรู้อย่างมี ‘จุดหมาย’
แต่ละช่วงชีวิตเราจะมีความต้องการที่จะเป็นบางสิ่งบางอย่างแตกต่างกันไป ตลอดช่วงอายุระหว่าง 20-30 ปี ผมเริ่มตั้งแต่อยากเป็น นักลงทุนหุ้น VI, นักเล่นหุ้น Technical, นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์, เจ้าของร้านไวน์, เจ้าของร้านอาหาร, เจ้าของเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์, นักแปลอิสระ, นักธุรกิจอีคอมเมิร์ซ, นักปรึกษาธุรกิจ, นักเขียน, นักพูด ฯลฯ
ความอยากแต่ละช่วงทำให้เราเริ่มค้นคว้าหาความรู้ และคุณไม่รู้หรอกครับว่าที่สุดแล้วคุณอยากทำอะไรแน่ๆ แต่ขอเพียงคุณรู้ตัวว่าอยากทำอะไร ณ ตอนนั้นให้ลงมือศึกษา โดยมีจุดหมายที่จะเป็นผู้รู้ถึงที่สุดใน Niche นั้นๆ ที่คุณอยากทำ
2. เรียนรู้แล้วต้อง ‘ทำทันที’
อย่างที่บอกว่าเราไม่รู้คำตอบสุดท้ายว่าเราจะเป็นอะไร ดังนั้นเมื่อคุณรู้สึกว่าอยากเป็นอะไรในเวลานั้น กำหนดเป้าหมายที่จะเป็นตัวท็อปของเรื่องนั้น ออกค้นคว้าศึกษา แล้วลงมือทำทันที!
วลีของ CEOblog คือ ‘คิดได้ ทำเลย’ — ผมได้รับคำถามบ่อยๆ ว่าทุกอย่างที่เขาคิดได้ ก็มีคนทำไปหมดแล้ว ถูกต้องครับ! มีคนทำไปหมดแล้ว และยังมีคนทำอยู่ แปลว่ามันมีความต้องการในตลาด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ยังมีการซื้อขาย หมายความว่ามีคนที่ทำแล้วรวยอยู่ กิจการนั้นจึงมีอยู่ – ต่อมาคือขึ้นอยู่กับว่า คุณถูกจริตกับมันหรือไม่! นี่แหละคือเหตุผลที่คุณต้อง ทำทันที เพื่อให้รู้ผลว่าคุณควรจะ ทำต่อ หรือ เปลี่ยนทาง — Fail fast, learn fast and move forward ครับ
3. เรียนรู้เพื่อเอา ‘หลักคิด’
บางครั้งคุณไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือทั้งเล่ม หรือฟังสัมมนาทั้งชุด เพื่อจะประสบผลลัพธ์ หนังสือและสัมมนามักจะมี หลักคิด บางอย่างที่เป็น Key-take-away จุดประกายสมอง และหัวใจของคุณให้บรรลุสู่ความรู้แบบปลดล็อกได้ครับ และบางครั้ง เราเพียงต้องการหลักคิดบางอย่างจากผู้รู้ เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องและเพื่อเดินหน้าต่อไป
ยกตัวอย่าง…
Secret of the Millionaire Mind
เปรียบเทียบจิตคนกับภาชนะ และเงินกับสสาร ถ้าภาชนะยังไม่ใหญ่พอ เวลาสสารถล่มใส่ก็จะไหลล้นออกเพื่อพาคุณกลับไปสู่จุดเดิม อุปมาอุปมัยนะครับ—ถ้าคนจนอย่างไรมา ถูกหวยสิบล้านก็กลับไปจนเหมือนเดิม ดังนั้นต้องขยายจิตแห่งการรองรับเงิน
ต่อมาคือ เปรียบเทียบทัศนคติของเงินกับรากไม้ และเงินกับผลไม้ ทัศนคติต้องดีจากราก ผลลัพธ์ทางการเงินจึงจะออกมาดี (มั่งคั่ง เบ่งบาน) – ผู้เขียนหนังสือคอนเฟิร์มว่าโลกนี้มีเงินเหลือล้น แต่การกระจายของเงินไม่เท่ากัน เพราะ mindset คนทีมีต่อเงินไม่เท่ากัน
The Millionaire Messenger
หนังสือเล่มนี้ปลดล็อกตั้งแต่ 3 หัวข้อแรกในหน้าคำนำเลยครับ ผมมีความรู้จากงานบริหาร และคิดว่ามันมีประโยชน์ อยากนำมาสร้างรายได้ แต่ไม่กล้า ไม่มั่นใจ กลัวไม่มีใครซื้อ มาอ่านหนังสือเล่มนี้ เจอ 3 ข้อนี้ไป จบ! ผมตัดสินใจเริ่มต้นเขียน E-book ทำการตลาดออนไลน์เพื่อขาย E-book และตามมาด้วยจัดสัมมนาของตัวเอง
ปีแรกขาย E-book รวมได้ 1.2 แสนบาท ปีที่สอง E-book รวมประมาณ 1.4 แสนบาทและจัดสัมมนาของตัวเองอีก 6 งานครับ ปีที่สาม E-book พีคขึ้นเท่าตัว ยอดขายเท่ากับ 2 ปีรวมกัน มีงานสัมมนา ทั้งจัดเอง และ Co-project กับท่านอื่นๆ และได้รับเชิญขึ้นเวทีพูดบนเวทีเดียวกับบุคคลที่ผมชื่นชม อาทิ คุณต็อบเถ้าแก่น้อย พี่หมูเจ้าของ OokBee ฯลฯ ตัดสินใจลาออกจากงานประจำ และก่อตั้งเป็นบริษัทจำกัดกับหุ้นส่วนครับ
The Millionaire Messenger มีบุญคุณอันดับต้นๆ ในพอร์ตหนังสือ และมันปลดล็อกผมตั้งแต่ครึ่งหน้าแรก! – ปล. ผมซื้อหนังสือมาในราคา 560 บาท
Zero To One
อันนี้ผมอ่านหลังจากเปิดบริษัทใหม่ๆ …
เทียบกับสมัยทำงานคนเดียวมันก็ง่าย รายได้หลักแสนตัวคนเดียวก็รวยแล้วเรา แต่พอมาเป็นบริษัทรู้สึกว่ามันหนักๆ ขึ้น รายได้เดือนละแสนเอาไม่อยู่สำหรับบริษัท มันต้องเป็นหลายแสนไปจนถึงหลักล้านถึงจะอยู่ได้ ช่วงแรกก็ย่ำแย่ สินค้าขายไม่ได้ ต้องประชุมและเปลี่ยนแผนกันวันต่อวัน
หนังสือ Zero to One ให้หลักคิดว่า โลกนี้จะไม่มี มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก คนที่สอง ทำให้ผมตกผลึกว่า เราอาจอยู่ได้ด้วยการเลียนแบบโมเดลธุรกิจของคนที่ทำมาก่อน แต่เราจะไม่ได้เค้กชิ้นใหญ่สุด อย่างไรก็ดี! คุณสามารถหาช่องว่างที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มในตลาดและปักหมุดลงตรงกลางที่ว่างนั้นเพื่อ ตั้งตนเป็นเบอร์หนึ่งของพื้นที่นั้นๆ แม้ในอุตสาหกรรมเดียวกัน! – ส่วนนี้ช่วยให้ผมนำข้อคิดมาหาช่องว่างในตลาดและกำหนดกลุ่มเป้าหมายชัดเจนขึ้น ทำสินค้าที่ได้ผลตอบรับดีขึ้นตามลำดับ
4. เรียนรู้เพื่อเอา ‘ฮาวทู’
กลุ่มนี้เป็นงานเทคนิคคอลครับ เรียนรู้เพื่อเอาวิธีทำ 1, 2, 3, 4 ไปทำงาน เช่นวิธีทำเว็บไซต์ วิธีทำการตลาดออนไลน์ วิธีเจรจาการขาย ฯลฯ อย่างในรูป How-to ที่ผมนำมาใช้ได้จริงๆ ก็ได้แก่…
The 4-Hour Work Week พูดเรื่องการวางระบบ E-commerce auto system ซึ่งผมอ่านก็งงๆ แต่ได้เพื่อนที่เข้าใจและนำไปปฏิบัติแล้วช่วยติวซ้ำอีกทีครับ แต่ในหมวดของการสร้างธุรกิจ Information business ผู้เขียนบอกว่า ให้เราสร้างแพลทฟอร์มในการขาย จากนั้นให้หาเทรนเนอร์เก่งๆ มาผลิตโปรดักท์แล้วขายผ่านแพลทฟอร์มของเรา แล้วทำซ้ำไปเรื่อยๆ อันนี้เอามาใช้จริงกับธุรกิจวันนี้ — ส่วนหนังสือที่ชื่อว่า Talk Like TED ก็อ่านแล้วก็นำไปใช้ในการพูดบนเวทีจริงๆ ครับ
สรุป
แรงบันดาลใจ มีพลังขับเคลื่อนชีวิตสูงมาก แต่มีอายุสั้นและมอดไหม้เร็ว เมื่อเกิดประกายไอเดียและแรงบันดาลใจจากการเรียนรู้สิ่งใหม่จงรีบลงมือทำเพื่อสร้างโมเมนตั้มของชีวิตให้หมุนไปข้างหน้าครับ — อ่านหนังสือ ฟังความรู้ แล้วนำไปประยุกต์ใช้ทันที
ที่มา : http://www.leaderwings.co/infopreneur-how-to-invest-in-knowledge-and-make-you-rich/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น