ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

> เป้าหมายทางการเงินสำคัญไฉน.?

เป้าหมายทางการเงินสำคัญไฉน?

เป้าหมายทางการเงินสำคัญไฉน?

วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องของการตั้งเป้าหมายกันค่ะ นิเป็นคนที่เชื่อมั่นและให้ความสำคัญมากๆ ในเรื่องของการมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน เพราะเป้าหมายเปรียบเสมือนไฟส่องทางให้ชีวิต หากชีวิตนิไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ก็คงเดินมาได้ไม่ไกลขนาดนี้

นิจึงอยากเชื้อเชิญให้คุณค้นหาตัวเองให้เจอ ว่าชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร ชีวิตต้องการอะไร มันเป็นเรื่องที่จำเป็นและสำคัญมากๆ ที่คุณต้องค้นหาเป้าหมายชีวิตของคุณให้เจอค่ะ ชีวิตต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนค่ะ

การมีเป้าหมายทางการเงินก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากพอๆ กับการมีเป้าหมายชีวิตเลยล่ะค่ะ เพราะเป้าหมายชีวิตกับเป้าหมายทางเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าทุกเป้าหมายชีวิตที่คุณต้องการ ย่อมต้องมีเรื่องเงินๆ ทองๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแทบทั้งสิ้น นิขอขยายความถึงความหมายของเป้าหมายชีวิตและเป้าหมายทางการเงินก่อนนะคะว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

เป้าหมายชีวิต (Life Goal) คือ ความต้องการที่ถูกกำหนดไว้ในอนาคตเพื่อเป็นหลักชัยในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพและมีความหมาย การกำหนดเป้าหมายชีวิตเปรียบเสมือนการมีเข็มทิศนำทางที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีทิศทางที่แน่นอน เพื่อให้มีความมั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เป้าหมายชีวิตมี 2 ลักษณะด้วยกันคือ

1. เป้าหมายที่เป็นตัวเงินหรือเป้าหมายทางการเงิน (Financial goal) เป็นเป้าหมายที่สามารถกำหนดเป็นตัวเงินได้อย่างชัดเจน เช่นต้องการเก็บออมเงินไว้ซื้อบ้านราคา 1,000,000 บาท ต้องการเก็บออมเงินซื้อรถยนต์นั่งส่วนบุคคลราคา 570,000 บาท หรือต้องการเก็บออมเงินไว้สำหรับใช้จ่ายในช่วงเกษียณอายุ 4,000,000 บาท เป็นต้น สิ่งสำคัญที่จะทำให้บุคคลบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ คือ การมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน กำหนดเป็นจำนวนเงินและเวลาที่จะบรรลุเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอนได้

2. เป้าหมายที่ไม่เป็นตัวเงิน (Non – Financial goal) เป็นเป้าหมายที่ต้องการให้สมาชิกในครอบครัวมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีการพัฒนาและยกระดับจิตใจตัวเอง การได้รับการยอมรับจากสังคม หรือการมีส่วนร่วมทำให้สังคมดีขึ้น เป็นต้น

การกำหนดเป้าหมายด้านนี้ไม่สามารถกำหนดเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนได้ แต่เราสามารถใช้มาตรวัดอย่างอื่นเป็นตัวกำหนดเป้าหมายได้ เช่น ถ้าคุณอยากมีสุขภาพที่แข็งแรง คุณก็อาจจะตั้งเป้าหมายว่า จะออกกำลังกายวันละ 30 นาทีอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นต้น ซึ่งการมีเป้าหมายเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเงิน แต่อย่าลืมนะคะว่า งานที่ดี ผลผลิตที่ดีย่อมมาจากสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี กล่าวโดยสรุปตัวเราเองนั่นล่ะค่ะที่เป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุด ดังนั้นอย่าลืมบริหารเวลาให้ดี เพื่อที่จะได้ดูแลตัวเองและคนที่เรารักอย่างดีที่สุดด้วยค่ะ

คุณสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์การวางแผนการเงินได้ที่ nipapuntalk@hotmail.com แล้วพบกันในตอนต่อไปค่ะ

ผู้เขียน โค้ชนิ นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP® เจ้าของผลงาน pocket book ‘เปลี่ยนชีวิตสู่ความมั่งคั่งด้วยการวางแผนการเงิน’ ‘มีเงินล้านด้วยการวางแผนการเงิน’ และ ‘อยากรวยต้องรู้จักวางแผนการเงิน’
ที่มา : http://money.sanook.com/380459/

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

> 5 วิธีผ่อนบ้านอย่างไรให้หนี้หมดไว

5 วิธีผ่อนบ้านอย่างไรให้หนี้หมดไว
สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้หลักหมื่น และอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างตัว มักจะมีหนี้อยู่ก้อนหนึ่ง ที่เรียกว่า หนี้ค่าบ้าน เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ใช้อยู่อาศัย หลับนอน และอยู่กับคนในครอบครัว แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการกู้เงินจำนวนมาก ซึ่งมีระยะเวลาในการผ่อนชำระ 10 – 30 ปีเลยทีเดียว ซึ่งใคร ๆ ก็อยากที่จะปลดหนี้ในส่วนนี้ให้หมดเร็วที่สุด จะได้นำเงินไปทำอย่างอื่นได้บ้าง แต่หากไม่ทราบว่าจะปลดหนี้บ้านอย่างไรให้หมดเร็ว ๆ อย่างไร วันนี้ MoneyGuru.co.th มีคำตอบมาฝากกันครับ
1. เพิ่มยอดผ่อนชำระในแต่ละงวด
หากคุณผ่อนบ้านด้วยเงิน 18,000 บาท ในตอนเริ่มแรก แล้วต่อมา คุณได้เงินเดือนเพิ่มมากขึ้น มีความสามารถเพิ่มเงินผ่อนในแต่ละงวดได้ ก็ขอแนะนำให้เพิ่มเงินผ่อนชำระในแต่ละงวดไปเลยครับ อาจจะเพิ่มไปอีกราว 10% หรือมากกว่านั้นก็ได้ เพราะจะทำให้ระยะเวลาในการผ่อนลดลง และดอกเบี้ยที่ต้องเสียลดลงตามระยะเวลาที่ลดลงด้วยครับ

2. ชำระด้วยเงินก้อน
ถ้าหากในระหว่างผ่อนชำระ คุณได้เงินก้อนมา ไม่ว่าจะเป็นเงินรางวัลลอตเตอรี่ หรือเงินมรดก หรือเงินโบนัส อย่านำไปใช้ให้สิ้นเปลืองครับ นำมาชำระค่าบ้านจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้เงินต้นลดลง และดอกเบี้ยก็ลดลงตามไปด้วยจำนวนมาก

3. ขอลดดอกเบี้ย
เมื่อผ่อนชำระค่าบ้านไปสักระยะเวลาหนึ่ง ทางธนาคารอาจเปิดโอกาสให้เราใช้สิทธิในการขอลดดอกเบี้ยได้ ซึ่งก็เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ลดเงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย และจ่ายเงินต้นได้มากขึ้น หรือหากธนาคารไม่ให้สิทธิเราขอลดดอกเบี้ย เราอาจจะเดินเข้าไปขอเจรจากับธนาคารโดยตรง เพื่อขอลดดอกเบี้ยเลยก็ได้ครับ

4. รีไฟแนนซ์
การรีไฟแนนซ์ คือ การเปลี่ยนธนาคารที่ผ่อนชำระนั่นเองครับ ถ้าหากธนาคารไม่ยอมให้ลดดอกเบี้ย เราอาจจะลองมองหาธนาคารอื่น ๆ ที่เสนอดอกเบี้ยที่ถูกกว่าให้กับเรา แล้วทำเรื่องรีไฟแนนซ์เพื่อย้ายธนาคารไปผ่อนชำระกับธนาคารที่คิดดอกเบี้ยถูกกว่า แต่การรีไฟแนนซ์มีค่าใช้จ่ายอยู่บ้าง โดยจะมีค่าธรรมเนียมการจำนอง ค่าอากรแสตมป์ ค่าประเมินหลักประกัน ดังนั้น ต้องคิดให้ละเอียดก่อนดำเนินการครับ

5. ผ่อน 13 เดือน
ปกติแล้ว ใน 1 ปี เราจะต้องชำระค่าบ้าน 12 งวดตามจำนวนเดือน แต่เราอาจจะเก็บเงินอีกส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินของเดือนที่ 13 โดยจะเป็นการเก็บเงินทั้งปี ไว้เพื่อชำระเป็นก้อนใหญ่ในปลายปีครั้งเดียว ซึ่งจะทำให้ระยะเวลาการผ่อนและดอกเบี้ยลดลงไปมากอีกด้วยครับ หรือ อาจจะนำมาแบ่งเป็น 12 งวด แล้วแบ่งไปชำระในแต่ละเดือนของปีต่อไปก็ได้ครับ

จบไปแล้วครับ สำหรับเคล็ดลับการผ่อนบ้านอย่างไรให้หมดไว เพื่อที่บ้านจะได้เป็นบ้านของคุณจริง ๆ ไม่ต้องมีภาระหนี้สินเกี่ยวกับบ้านอีกต่อไป และสามารถนำเงินที่เคยต้องจ่ายค่าผ่อนบ้าน ไปใช้เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจและสะสมไว้เพื่ออนาคตได้ ถ้าคุณผู้อ่านต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อก่อนการกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน ก็สามารถอ่านต่อได้ที่ กู้เงินทั้งที ต้องรู้อะไรบ้าง ? และหากคุณผู้อ่านต้องการรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการเงินอื่น ๆ ก็สามารถติดตามอ่านบทความดี ๆ ต่อได้ที่ MoneyGuru.co.th ครับ
อ้างอิง: k-expert.askkbank.com, topofliving.com, home.kapook.com

> มีเงิน 1 แสนบาทเอาไปทำอะไรดี..?

มีเงิน 1 แสนบาทเอาไปทำอะไรดี?

TIP การเงิน : มีเงิน 1 แสนบาทเอาไปทำอะไรดี?
สำหรับคนทำงานที่ต้องเก็บออม เมื่อเราทำงานมาได้ซักระยะหนึ่งเราก็จะมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง หากเราไม่ได้ใช้เงินระหว่างทางหมดไปเสียก่อน... ถ้าคุณมีเงิน 1 แสนบาท จะเอาไปทำอะไรดี?
1) ซื้อรถยนต์คันใหม่
2) ซื้อคอนโดฯ หลังใหม่
3) ฝากธนาคาร
4) ลงทุนหุ้น
ลองคิดกันเล่นๆ ไม่มีผิด หรือถูกนะครับ... ในบทความนี้ผมจะลองนำเสนอทางเลือกทั้ง 4 แบบให้พิจารณากันว่า... มีเงิน 1 แสนบาทเอาไปทำอะไรดี? ลองติดตามกันดูนะครับ
1 แสนบาท ทำอะไรดี
ทางเลือกที่หนึ่ง “ซื้อรถยนต์คันใหม่”
แน่นอนที่สุดว่าเมื่อเราทำงานมาอย่างเหนื่อยยากลำบาก การซื้อรถยนต์คันใหม่ให้กับตัวเอง นอกจากจะเป็นรางวัลชีวิตแล้ว ยังเพิ่มความสะดวกสบาย และคนรอบข้างเราก็จะพลอยได้รับอานิสงค์ในการติดรถยนต์ของเราเดินทางไปด้วย การซื้อรถยนต์คันใหม่ หากเราดาวน์ด้วยเงิน 1 แสนบาทที่เรามี ถ้ามูลค่ารถยนต์คันนั้นอยู่ที่ 6 แสนบาท = เราต้องผ่อนต่ออีก 5 แสนบาท เป็นเวลา 5 ปี ตกค่างวดต่อเดือนประมาณ 9,000 บาท ยังไม่รวมค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา และค่าต่อประกันภัยรถยนต์
สำหรับคนที่มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางตกเดือนละ 9,000 บาทหรือ วันละกว่า 300 บาทอยู่แล้ว การออกรถยนต์คันใหม่ ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่งครับ แต่เราจะต้องแบกรับค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา และค่าต่อประกันเพิ่มเติมด้วย ควรคำนวนเงินในส่วนนี้เผื่อเอาไว้ด้วยนะครับ ... และเราต้องยอมรับว่า... มูลค่ารถยนต์จะตกลงกว่า 50% หรือครึ่งหนึ่งของราคาที่ซื้อมาเมื่อเราผ่อนชำระหมด
ทางเลือกที่สอง “ซื้อคอนโดฯ หลังใหม่”
การซื้อคอนโดมิเนียมหลังใหม่ ถือเป็นทางเลือกที่ไม่เลว หากคอนโดที่เราซื้อมีเนื้อที่ราว 30 ตารางเมตร มูลค่า 1 ล้านบาท อยู่ใกล้ทำเลเมือง เมื่อเรานำเงิน 1 แสนไปดาวน์ เราจะต้องผ่อนต่ออีก 9 แสนบาท หากเราผ่อนเป็นระยะเวลา 30 ปี = เราต้องส่งค่างวดราวๆ 5000 บาทต่อเดือน คอนโดฯ 30 ตารางเมตร มูลค่า 1 ล้านบาท = 33,000 บาทต่อตารางเมตรเป็นมูลค่าปัจจุบัน
สำหรับคนที่ทำงานในเมือง มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้าเมืองตกเดือนละกว่า 5,000 บาท หรือวันละกว่า 160 บาทอยู่แล้ว การซื้อคอนโดฯ ในเมืองทำเลใกล้ที่ทำงานถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากครับ เพราะได้ประหยัดค่าเดินทางเปลี่ยนค่าเดินทางมาเป็นสินทรัพย์ คือ คอนโดมิเนียม ที่จะเพิ่มมูลค่าตามเวลาที่ผ่านไป วันนี้มูลค่าอาจอยู่ที่ 3 หมื่นบาทต่อตารางเมตร แต่ในอนาคตมูลค่าอาจเพิ่มขึ้นกว่า 5 หมื่นบาทต่อตารางเมตร เราเคยได้เห็นคอนโดฯ ที่มีมูลค่ากว่า 2 แสนบาทต่อตารางเมตรกันมาแล้วไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยครับ คอนโดฯ ถือเป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นตามเวลา นอกจากได้อยู่อาศัยแล้ว ยังได้ลงทุนไปในตัว แถมยังกำหนดเวลาไปทำงานได้ แบบนี้ถือว่าได้ 3 เด้ง! คุ้มค่ามากครับ
ทางเลือกที่สาม “นำเงินไปฝากธนาคาร”
สำหรับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยง... การนำเงินไปฝากธนาคารถือเป็นทางเลือกที่ไร้ความเสี่ยง เงิน 1 แสนบาท ฝากธนาคารกินดอกเบี้ย 2-3% ต่อปี แม้จะไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ แต่ก็ต้องให้คะแนนเรื่องความเสี่ยงที่แทบจะเป็นศูนย์ หากเรานำเงินไปฝากธนาคารได้อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ทิ้งไว้ 10 ปี เงินฝากเราจะงอกเงยเป็น 2 แสนบาทภายในเวลา 24 ปี หรือเพิ่มเป็นสองเท่าเลยทีเดียวครับ! แต่การนำเงินไปฝากธนาคารแบบนี้เราต้องยอมรับกับผลตอบแทนที่ค่อนข้างจะต่ำให้ได้นะครับ
ทางเลือกที่สี่ “นำเงินไปลงทุนหุ้น”
สำหรับคนที่ยอมรับความเสี่ยงได้... การนำเงินไปฝากธนาคารอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม การนำเงินไปซื้อคอนโดฯ ก็เป็นภาระยาวนานหลายปี (ภาระส่งค่างวด) ดังนั้นการนำเงินไปลงทุนในหุ้นถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ... จากสถิติถ้าเราลงทุนถูกทาง... หุ้นจะให้ผลตอบแทนราว 10-15% ต่อปี ... หมายความว่าเงิน 1 แสนบาทในวันนี้จะกลายเป็น 2 แสนบาทภายในเวลาไม่เกิน 7 ปี ถ้าเราลงทุนระยะยาว ไม่ซื้อๆ ขายๆ ระหว่างทางโดยไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้นเราต้องศึกษาหาความรู้ให้ถูกต้อง... ไม่ซื้อหุ้นระยะยาวด้วยภาพระยะสั้น และไม่ซื้อหุ้นระยะสั้นด้วยภาพระยะยาว เพราะหากเราลงทุนผิดวิธีผลจะกลับข้างกันเงิน 1 แสนบาทในวันนี้อาจลดลงกว่าครึ่งในเวลาไม่นานครับ
ทางเลือกต่างๆ ที่นายแว่นธรรมดาสรุปให้ไม่ใช่สูตรตายตัว ไม่มีผิด ไม่มีถูก เพื่อนๆ ลองเอาไปพิจารณากันดู... เผื่อใครที่มีเงินเหลือไม่รู้จะเอาไปทำอะไร จะได้มีข้อมูลไว้พิจารณานะครับ


ติดตาม TIP การเงินแบบนี้ได้ใหม่ในตอนหน้านะครับ

NAIWAENTAMMADA

ขอแนะนำเว็บไซค์สำหรับคนอยากมีบ้านหลังแรก และต้องการมองหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

http://www.topofliving.com/ (โดยนายแว่นธรรมดา เช่นเคยครับผม)

ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=naiwaentammada&month=30-05-2015&group=14&gblog=13

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

> พี่น้องและครอบครัว #เรื่องราวดีๆ อ่านแล้วกินใจ


พี่น้องและครอบครัว
#เรื่องราวดีๆ อ่านแล้วกินใจ

❉❉...ผมเคยตีน้องสาวหนึ่งครั้ง  ด้วยความรู้สึกว่า  เราสาละวนอยู่กับการหุงข้าว ทำกับข้าว หาบน้ำ ล้างจาน  เธอจะมีแก่ใจมาช่วยกันสักนิดก็ไม่มี  มัวแต่เล่น  อีกประเดี๋ยวแม่ก็กลับจากไร่แล้ว แม่หิว ข้าวปลาอาหารหุงเสร็จ ถ้วยชามล้างเสร็จ รอท่าไว้ แม่ก็จะได้กินเลย  เธอกลับไม่มีแก่ใจจะห่วงใยและช่วยเหลือเลย  จึงเรียกเธอมาต่อว่า เธอเถียงไม่มีเหตุผล  ผมจึงคว้าไม้เรียวมาและตีเธอเข้า 1 ที
.....
❉❉...น้ำตาเธอร่วงเป็นเผาเต่า  เจ็บที่ถูกตีคงไม่เท่าเจ็บที่หัวใจ  เธอร้องไห้ปากงุ้มเป็นครุฑ (เป็นเอกลักษณ์ของเธอ 555) แล้วถามผมว่า ตีเธอได้ไง  ผมตอบไปว่า ก็ผมเป็นพี่ ทำไมจะตีไม่ได้  นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา  ผมได้สูญเสีย "เพื่อนเล่น" ไป 1 คน  เราโตมาด้วยกันอย่างเพื่อนเสมอมา  แต่เมื่อผมทวงสิทธิว่า ผมเป็นพี่ของเธอ เธอจึงเลือกที่จะเป็น "น้องสาว" ให้รู้แล้วรู้รอดเสียเลย
.....
❉❉...พี่ชายก็เคยตีผม  แต่ไม่เจ็บทั้งกายและใจ  เพราะเราแยกไปโตกับยายมาด้วยกัน หลังพ่อเสียชีวิต แล้วแม่คงจะแบกรับลูกๆ ทั้ง 10 คนไว้ตามลำพังไม่ไหว  "พี่ต้องดูแลน้อง" ยายบอก และ "น้องต้องเคารพพี่" ยายบอกอีกเช่นกัน
.....
❉❉...พี่ชายของผม รักษาคำมั่นสัญญานั้นเป็นมั่นเหมาะ  เขาดูแลการอาบน้ำอาบท่า ซักผ้าซักผ่อน แม้กระทั่งยามเจ็บไข้ได้ป่วย  เขาก็เคยนั่งเฝ้าทั้งคืน  เหตุเพราะเขาพาผมไปเล่นน้ำทะเลตอนแดดเปรี้ยงๆ  แล้วขากลับ เกิดฝนตกหนัก พวกเราตัวเปียกปอน และผมจับไข้หนาวสั่นในทันใด
.....
❉❉...ในความเป็นพี่เป็นน้อง เราเห็นความรักและ "เยื่อใย" ที่เชื่อมร้อยเราเข้าด้วยกัน  เป็นมากกว่า "สายสัมพันธ์" ในฐานะผู้เกิดร่วมบิดามารดา  แต่มีหน้าที่ตามมา และเป็นหน้าที่ที่ต้อง "ทำด้วยหัวใจ"
.....
❉❉...น้องสาวผมไม่ค่อยเก็บหอมรอมริบในตอนเด็กๆ  ก็ตามประสาเด็กนั่นแหละครับ มีเท่าไรก็ใช้หมด  ส่วนมากก็หมดไปกับขนมและของกิน  พวกเราไม่เคยซื้อของเล่น มันเป็น "ส่วนเกินในฐานะ" ของครอบครัว  แต่ผมพอจะมีนิสัยเก็บเล็กผสมน้อยอยู่บ้าง จึงมีเงินพอที่จะซื้อ "มาม่า" มาต้มกินดับหิวในบ่ายวันหนึ่ง
.....
❉❉...เราจนอยู่แล้ว  เงินจะเหลือให้เก็บนั้นเป็นเรื่องยากมาก  เว้นเสียแต่เราจะ "ทำงานเพิ่ม" เพื่อให้ได้ "ค่าจ้าง" มา  ผมมีเงินติดกระเป๋าอยู่ไม่กี่บาทจากการนั้น
.....
❉❉...หิวเหลือเกิน  ข้าวหมด รอหุงอีกทีตอนเย็น  ต้มมาม่าละกัน  จึงควานหาเงินที่เก็บออมไว้ พอซื้อมาม่าได้ 1 ซอง  หลังจากเดินไปซื้อมาม่าแล้ว ก็มาหาเก็บผักบุ้ง ใส่ เพื่อเพิ่มความอิ่มให้มีมากขึ้น
.....
❉❉...ขณะต้มมาม่าด้วยหม้อใบเล็ก  มีมาม่าอยู่หน่อยเดียว แต่อัดผักบุ้งลงไปเต็มที่  น้องสาวมายืนดู ตาปรอย น้ำตาหยดย้อยขอกินบ้าง  ผมบ่นกระปอดกระแปดว่า ตอนมีเงินไม่รู้จักเก็บไว้บ้าง พอหิวก็เลยไม่มีอะไรกินไงล่ะ  ยิ่งบ่นเธอก็ยิ่งร้องไห้ สุดท้ายก็ใจอ่อน ให้เธอหยิบชามมา แล้วตักแบ่งให้เธอกินด้วย
.....
❉❉...ตาที่เคยท่วมนองไปด้วยน้ำตา และส่อว่าจะสิ้นหวังแล้วพลันเปลี่ยนไป  มันเป็นประกายด้วยความดีใจ และเราเห็น "ความซึ้งใจ" แวบอยู่ในนั้นด้วย
.....
❉❉...ตอนเด็กกว่านั้น (ผมอยู่ราวๆ ป.4) แม่ซึ่งนำพริกแห้ง หอมกระเทียม ฯลฯ ไปขายที่ภาคใต้ ไปทีก็หลายวัน  ก่อนไปก็จะทิ้งเงินไว้ กำชับพี่ชายให้ดูแลยายกับน้องๆ ให้ดี ถึงวันนั้นวันนี้ แม่จะกลับมา
.....
❉❉...ปรากฏว่า ถึงกำหนดแล้ว แม่ก็ยังไม่กลับ  
เงินหมด ไม่มีใครมีเลย
.....
❉❉...พี่ชายตัดสินใจชวนน้องชายคนต่อจากเขา และผม (3 พี่น้อง อายุเรียงกัน)  เข้าไปในสวนมะพร้าวแถวๆ บ้าน  ซึ่งค่อนข้างรก และยุงชุมมาก  เพื่อจะหามะพร้าวที่หล่นๆ ตามโคนต้น ผ่า และแคะเนื้อมะพร้าวใส่ถุงมาขายให้แม่ค้าที่ตลาด 
.....
❉❉...เขาสองคนหามะพร้าวหล่นๆ ไปด้วย ห่วงผมไปด้วย (ผมเป็นคนป่วยง่าย)  เดี๋ยวเทียวเช็ดเหงื่อ เดี๋ยวเทียวไล่ยุงให้ ถามว่ากินน้ำมะพร้าวไหม กินจาวมะพร้าวไหม 
.....
❉❉...ในวินาทีที่เราไม่รู้มาแม่จะกลับมาหาเราไหม  ใจของผม "อุ่น" ได้  ด้วยความรักจากพวกเขา  วันนั้นเป็นวันที่ผมไม่กระจองอแง ไม่เหนื่อย ไม่ทำตัวเป็นภาระ  เพราะรู้ว่าทุกข์ที่พี่แบกอยู่นั้น หนักหนาสาหัสขนาดไหน
.....
❉❉...เรากลับบ้านพร้อมเนื้อมะพร้าวจำนวนไม่มาก เพราะมันเป็นสวนของคนอื่นเขา  เราขอแค่มะพร้าวหล่นๆ มาประทังชีวิต  
.....
❉❉...มีจาวมะพร้าวมาฝากยาย รวมทั้งฝรั่งสุกๆ จากต้นที่เราไปเจอ
.....
❉❉...เงินค่าเนื้อมะพร้าว ซื้อกุ้งที่ตลาดได้ 7 ตัว  พี่ชายกับยายช่วยกัน "แก้งส้มมะละกอ" ได้หม้อใหญ่  เรากินด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย
.....
❉❉...คืนนั้นแม่กลับถึงบ้านตอนดึก  ผมซึ่งหลับอยู่ ได้ยินเสียงแม่สะอึกสะอื้นร้องไห้  แม่เล่าให้ยายฟังว่า รถโดยสารประจำทางที่จะกลับมาถูกโจรดักปล้น  มันเอาเงินที่ขายของได้ไปหมดเลย  แม่ต้องอยู่เพื่อให้ปากคำกับตำรวจ และรอจะได้เดินทางกลับ มีเงินที่เขาให้ติดตัวมาแค่ร้อยสองร้อย  เมื่อยายเล่าว่า พี่ชายผมออกไปหามะพร้าวมาเพื่อขาย ซื้อกับข้าว  แม่ยิ่งร้องไห้เหมือนใจจะขาด
.....
❉❉...นับจากวันนั้นมา  แม่รู้ว่า หากไม่มีแม่ แม่ก็มีลูกชายคนหนึ่งที่จะ "สู้เพื่อน้องๆ" ของเขาได้  แม่กอดพี่ชายผม น้ำตาไหล แล้วบอกว่า "แม่ขอโทษและขอบคุณมากนะลูก" 
.....
❉❉...คำว่า "ครอบครัว" ไม่ใช่แค่การเกิดมาด้วยพ่อแม่เดียวกัน อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน และโตมาด้วยกันเท่านั้น  แต่มันหมายถึงเราผ่านคืนวันที่ทุกข์ที่สุดและสุขที่สุดมาด้วยกัน  โดยไม่มีใครมานั่งชั่ง ตวง วัด ว่าใครสุขกว่าใคร หรือใครเหนื่อยกว่าใคร  แต่ใจทุกใจ พันและผูกอยู่ด้วยกัน  ไม่ว่ามันคือวันแห่งสุขหรือวันแห่งทุกข์
.....
❉❉...เดี๋ยวนี้น้องสาวเป็นคนดูแลแม่  เธอเรียกแม่ด้วยนามแฝงในเฟสบุ๊คว่า "สุดที่รักและรักที่สุด"  ก่อนผมซื้อรถกระบะให้เธอ ตามที่เธอขอ  ผมบอกกับเธอว่า "เธอต้องคิดให้ดีนะ  ทันทีที่เธอมีรถ ด้วยเหตุผลที่เธอห่วงแม่ ว่ามักเจ็บไข้ในตอนดึกๆ  กว่าจะโทรเรียกพี่ชายจากอีกหมู่บ้านหนึ่ง หรือไหว้วานเพื่อนบ้านให้ขับรถพาแม่ไปโรงพยาบาลนั้น มันนาน กลัวแม่จะเป็นอันตราย  เธอต้องรู้นะว่า มันอาจจะไม่ง่ายอีกต่อไปที่เเธอจะเรียกคนอื่น  ทุกคนจะสบายใจว่า แม่จะอยู่ในความดูแลของเธอ และนั่นจะเป็นภาระที่ตกแก่เธอ รู้ใช่ไหม"
.....
❉❉...เธอบอกว่ารู้ และพร้อม  ผมจึงไม่มีรอเลยที่จะส่งเงินให้เธอ และรับหน้าที่ผ่อนรถคันนั้น (ยังผ่อนอยู่)
.....
❉❉...เธอส่งข่าวให้รู้ทุกครั้ง ว่าคืนไหนแม่ต้องไปโรงพยาบาล  แม่เป็นความดันโลหิตสูง และชอบสูงตอนตีสอง  จนบัดนี้เธอไม่เคยบ่นเลย ว่านั่นคือ "ภาระ" ---มีแต่ทำด้วยความรัก
.....
❉❉...ส่วนพี่ชายคนนั้น จากพวกเราไปหลายปีแล้ว  เขาเป็นมะเร็ง  ครั้งท้ายๆ ที่ผมไปเยี่ยมเขา  เขากินอาหารไม่ได้มาหลายวันแล้ว ดูเหนื่อยอ่อน แต่ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความกังวล
.....
❉❉...ลับหลังพี่  แม่โผเข้ากอดผม ร้องไห้ และพูดกับผมว่า "แม่ดูแล้ว พี่เขาไม่ไหวแล้วล่ะลูก"
.....
❉❉...คืนนั้นผมป้อนนมกล่องให้พี่  จับมือและบีบนวดตัวให้เขา  ถามเขาว่า "ไหวมั้ย"
.....
❉❉...เขานิ่ง  ผมจึงบอกเขาว่า "ไหวหรือไม่ไหวก็บอกมา  เราเป็นพี่น้องกัน  พี่เจ็บ พวกเราก็เจ็บ  ไม่ไหวก็อย่าฝืน  แต่ถ้าไหว ก็สู้ต่อไปด้วยกัน  อยากให้พี่อยู่ด้วยกัน  แต่ก็จะไม่บอกพี่ว่า พี่ต้องไหว  เพราะคนที่เจ็บกว่าใคร คือตัวพี่เอง"
.....
❉❉...น้ำตาของเขาเริ่มไหล...
"อยากให้พี่อยู่นะ  แต่เราเจ็บแทนพี่ไม่ได้ ถ้ามันไม่ไหวพี่ก็อย่าห่วงอะไรอีกเลย"
.....
❉❉...เขาบอกว่า "ไม่ไหวแล้ว"
ผมจึงถามว่า "เป็นห่วงเรื่องอะไร"
เขาบอก "ห่วงน้องสาวอีกคน (คนเล็กสุด) ยังเรียนไม่จบเลย  อยากเห็นน้องรับปริญญา  (น้องคนนี้ เขาเลี้ยงมาเหมือนลูก)  ห่วงแม่ ยังตอบแทนพระคุณแม่ไม่พอเลย"
.....
❉❉...ผมสะอื้นไม่เกรงใจเขา  และบอกว่า "ฟังนะ ในบรรดาลุกทุกคน  พี่ทำให้แม่มากกว่าใครทั้งหมด  ดังนั้น ถ้าห่วง 2 เรื่องนี้ ก็เลิกห่วงได้  น้อง เราทุกคนก็รัก และต้องดูแลเขาไม่ให้ลำบากแน่นอน  ส่วนแม่ เราจะดูต่อให้  แต่ก็พูดกันเสียให้ชัด ว่าเรากับเธอ นิสัยไม่เหมือนกัน การดูแล ก็คงไม่เหมือนที่เธอทำ แต่แม่จะไม่ลำบาก เธอเชื่อเรามั้ย"
.....
❉❉...เขาพยักหน้า  ผมจึงบอกว่า "ทำใจให้ปลอดโปร่งที่สุดนะ แล้วตัดสินใจว่า ไหวมั้ย  ถ้าไหว ก็อยากให้อยู่ด้วยกัน  ถ้าไม่ไหว ก็อย่าฝืนแบบนี้ มันเจ็บ..."
.....
❉❉...น้ำตาของเราทั้งสองนองหน้า แต่พยายามข่มไว้ เพื่อไม่ให้กระทบจิตใจของแม่ที่หลับอยู่ในห้องคนไข้ด้วยกัน
.....
❉❉..."ไม่ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ เธอต้องมีความสุข  เราสัญญาทุกอย่างที่พูดกับเธอ เราไม่มีวันลืมสัญญานี้" เขาพยักหน้า สักพักเดียวเขาก็หลับไป หลังจากนอนไม่หลับมาสองสามวันแล้ว
.....
❉❉...หลังจากนั้นสองสามวันเช่นกัน เขามีนัดตรวจกับหมอที่ศิริราช  ผมปิดต้นฉบับที่นิตยสาร LIPS เสร็จตอนเย็น  ก็รีบซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปท่าพระจันทร์ แล้วข้ามเรือไป  เมื่อไปถึงเตียงคนไข้ เห็นญาติพี่น้องของเรายืนอยู่รอบเตียง  
.....
❉❉..."สมองคนไข้ไม่ทำงานแล้ว ที่ยังหายใจอยู่นี้เพราะเครื่อง  หากเขาหยุดหายใจ จะให้ปั๊มกลับมาไหม" หมอถาม
.....
❉❉...แม่มองตาเราทุกคนรอบเตียง นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วบอกว่า "ปล่อยเขาไปเถอะ อย่าให้เขาเจ็บปวดอีกเลย"
.....
❉❉...ผม...ซึ่งมาเป็นคนสุดท้ายจึงหันไปกุมมือเขา แล้วกระซิบข้างหูเขาว่า "มาแล้วนะ ไม่ต้องห่วงอะไรนะ"  เท่านั้นเอง เส้นกราฟหัวใจของเขาก็หยุดสนิท
.....
❉❉...เล่าเรื่องเหล่านี้ให้คุณฟังเพื่อจะบอกว่า  บ้าน ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย  พี่น้อง ไม่ใช่แค่คนคลานตามกันมา  ครอบครัวจึงมีความหมายที่ลึกซึ้งว่า  ในวันที่ทุกข์ที่สุดและสุขที่สุด เราจะร่วมอยู่ในวันคืนเหล่านั้นด้วยกัน ไม่มีวันปล่อยมือจากกัน
.....
❉❉...จงค่อยๆ หล่อหลอมลูกๆ ของคุณให้รู้จักความเป็นพี่ความเป็นน้อง และความเป็นครอบครัวเถิด  เพราะถึงวันหนึ่ง คุณก็ต้องปล่อยมือจากไป โดยที่คุณจะแสนแน่ใจ ว่า พวกเขาจะเกาะกุมมือกัน  เดินต่อไปในโลกใบนี้ ด้วยคำว่า เราคือ "ครอบครัว" โดยไม่ปล่อยมือจากกันด้วยความเห็นแก่ตัว

🙇::ขอบคุณที่มา:: คุณปู จิตกร บุษบา🙇

> 13 ประโยชน์กล้วยๆ ที่ไม่กล้วยอย่างที่คิด

13 ประโยชน์กล้วยๆ ที่ไม่กล้วยอย่างที่คิด

ถ้าคุณชอบของถูกแต่ดี หาซื้อง่าย กล้วยนี่ล่ะคือคำตอบ เพราะผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยคุณประโยชน์เริ่ดๆ เพียบ

1. ลดอาการเสียดท้อง กล้วยเป็นยาลดกรดโดยธรรมชาติอยู่แล้วเวลาท้องอืดถ้าได้ทานกล้วยสัก 2-3 ลูก ไม่นานคุณจะรู้สึกสบายขึ้น วิธีนี้เหมาะจะเอาไว้ใช้เวลาเดินทางไกลๆ ที่หาร้านขายยายากด้วยค่ะ

2. ตื่นเช้าอย่างสดใส คนที่มักตื่นขึ้นมาพร้อมอาการมึนหัว หงุดหงิด ใจสั่น นั่นเป็นเพราะหลายชั่วโมงที่นอนหลับ น้ำตาลในเลือดของเราลดต่ำลง แต่เรื่องแค่นี้กล้วยช่วยได้ น้ำตาลฟรุคโตสในกล้วยเป็นกรดโมเลกุลเดี่ยวที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที ช่วยให้อาการมึนหัวและอารมณ์แย่ๆ หายเร็วทันใจ

3. ปกป้องลำไส้ ช่วงไหนรู้สึกว่าโรคกระเพาะกำลังเล่นงาน อย่าลืมเพิ่มกล้วยเข้าไปในเมนูอาหารทุกมื้อค่ะ นอกจากจะทานง่าย ไม่ต้องยุ่งยากเวลาย่อยแล้ว กล้วยยังมีสารบางอย่างคล้ายนมที่จะเข้าไปเคลือบกระเพาะของเรา แผลในลำไส้ซึ่งเป็นตัวการเกิดโรคกระเพาะจะได้สมานตัว

4. หยุดโรคโลหิตจาง กล้วยเป็นยาดีที่ไม่ควรพลาดสำหรับคนที่กำลังเป็นโรคโลหิตจาง เพราะมันมีธาตุเหล็กจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด โลหิตจางๆ ของคุณจะได้กลับสู่ภาวะเข้มข้นปกติ เลิกหน้ามืดเป็นลมกันเสียที

5. ป้องกันความดันโลหิต องค์การอาหารและยาของอเมริกาเลือกให้กล้วยเป็นอาหารที่ดีที่สุดในการฟื้นฟู และป้องกันโรคความดันโลหิต เพราะมันมีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก แต่มีปริมาณเกลือต่ำ เพอร์เฟ็คสำหรับร่างกายของคนเป็นความดันสุดๆ

6. เลิกบุหรี่ต้องกินกล้วย คนที่มีประสบการณ์เลิกบุหรี่มาแล้ว คงรู้ดีว่าความรู้สึกในตอนนั้นมันทรมานขนาดไหน แต่ถ้าได้กินกล้วยเป็นประจำความทรมานนี้จะลดลง เนื่องจากในกล้วยมีวิตามินซี เอ บี6 บี12 โพแทสเซียม และแมกนีเซียมสูงปรี๊ด สารอาหารเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็ว คุณจะสดชื่นกระปรี้กระเปร่าจนไม่ค่อยจะโหยหานิโคตินเท่าไร

7. เรียนเก่งเพราะกินกล้วย โพแทสเซียมในกล้วยช่วยเพิ่มกำลังสมองให้เราได้ ถ้าวัยรุ่นที่ต้องท่องหนังสือเป็นประจำกินกล้วยเป็นอาหารเสริมทุกมื้อ คะแนนสอบของคุณจะพุ่งฉิวเดินยืดโชว์พาวได้ทั้งโรงเรียนเลย เรื่องนี้ผลวิจัยเขายืนยันมาจ้า

8. ลดอาการซึมเศร้า โรคนี้ใครที่เคยเป็นจะรู้ว่าทรมานมาก แต่จากการสำรวจพบว่าความรู้สึกซึมเศร้าจะลดลงหลังจากได้กินกล้วย เพราะร่างกายได้รับโปรตีน trypotophan ที่จะถูกเปลี่ยนให้เป็นสารแห่งความสุขที่ชื่อเซโรโทนิน รู้อย่างนี้แล้วคนที่อยากอารมณ์ดีตลอดเวลาคงต้องเพิ่มกล้วยเข้าไปในเมนูอาหารประจำวันแล้วล่ะ

9. ลดอาการเมาค้าง ในกรณีที่คุณเป็นผีเสื้อราตรี ชอบออกไปเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนแล้วกลับถึงบ้านในสภาพเมาปลิ้นสิ้นแรง ก่อนเข้านอนควรทานน้ำกล้วยปั่นใส่น้ำผึ้งก่อน 1 แก้ว กล้วยจะไปเคลือบกระเพาะไม่ให้หิวกลางดึก และทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสมดุล น้ำผึ้งเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ควบคุมระดับน้ำตาลระหว่างหลับ ตื่นขึ้นมาคุณจะมีอาการเมาค้างน้อยมากถึงมากที่สุด

10. แก้ปัญหาท้องผูก กล้วยเป็นยาระบายอ่อนๆ ของคนไทยเรามาตั้งแต่โบราณ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นกล้วยสุกเท่านั้น ส่วนกล้วยดิบอาจทำให้ลำไส้อุดตัน กินแล้วปมในท้องจะขมวดเกลียวผูกหนักยิ่งกว่าเดิม

11. ป้องกันเส้นเลือดฝอยแตก ไม่อยากเส้นเลือดฝอยแตก กล้วยช่วยคุณได้ ผลวิจัยในวารสาร "The New England Journal of Medicine" บอกว่าการกินกล้วยเป็นประจำ
สามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%

12. ไดเอทด้วยกล้วย ที่ญี่ปุ่นมีวิธีไดเอทที่เคยฮิตอยู่ช่วงหนึ่งเรียกว่า "บานาน่า ไดเอท" หรือไดเอทด้วยการกินกล้วย แสดงว่ากล้วยสามารถช่วยให้น้ำหนักตัวลดลงได้เหมือนกัน เพราะมันสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยให้ไม่หิวบ่อย คนที่กินกล้วยทุกๆ 2 ชั่วโมงจะไม่ค่อยอยากอาหาร ไม่ต้องทานจุกจิก ที่สำคัญถึงจะกำลังไดเอทคุณก็ไม่หงุดหงิด เพราะได้ตัวช่วยดีๆ อย่างวิตามินบี6 และโปรตีน trypotophan นั่นเอง

13. กำจัดหูด เรื่องนี้คนไทยโบราณทำกันมานานแล้ว แต่คนรุ่นใหม่อย่างเราอาจยังไม่รู้ว่าหูดกับกล้วยเป็นอะไรที่เข้ากั๊นเข้ากัน เพียงแค่คว่ำเปลือกกล้วยลงไปบนหูดให้ส่วนที่เป็นตัวยางแนบติดกับหูด แปะพลาสเตอร์ทับไว้ให้เปลือกกล้วยไม่เลื่อนทำทุกวันประมาณ 1 สัปดาห์เม็ดหูดจะเล็กลงและลอกหลุดไปเอง



ที่มา : http://www.pstip.com

> พูดถึงเรื่อง"หญ้า" ถ้าอยู่ในกระถางต้นไม้ มันก็คือ "ส่วนเกิน"


"หญ้า" 
ถ้าอยู่ในกระถางต้นไม้ คือ 
"ส่วนเกิน"
แต่ถ้าอยู่ในทุ่งกว้าง
"มันจะสวยงาม"
**********
"เหรียญบาท" 
อยู่ในร้านอาหาร เป็นได้แค่ 
‎"เศษสตางค์"
แต่ถ้าไปอยู่หน้าห้องน้ำ ที่ต้องซื้อกระดาษชำระจากตู้หยอดเหรียญ
"เวลานั้น" 
‎แม้แต่ 
"เศรษฐี" 
ก็ยังต้องการ
"เหรียญบาท ..มากกว่าแบงค์พัน"
‎คนทุกคนมีค่า
แต่
"อยู่ให้ถูกที่ อยู่ให้ถูกเวลา"
รู้ว่าที่ไหนเหมาะกับเรา
รู้ว่าที่ไหนที่เราจะมีค่าที่สุด
*****************

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

> บทความนี้สวยงามยิ่งนัก

บทความนี้สวยงามยิ่งนัก
อาร์เธอร์ แอชชี่ นักเทนนิสวิมเบิลดันระดับตำนาน
กำลังป่วยด้วยเชื้อโรคเอดส์จากการได้รับเชื้อผ่านการถ่ายเลือด เมื่อเขารับการผ่าตัดหัวใจ ในปี 1983
เขาได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากแฟนมีใจความว่า
ทำไมพระเจ้าถึงเลือกคุณให้เป็นโรคร้ายนี้
อาร์เธอร์ตอบว่า
มีเด็ก 50 ล้านคนเริ่มต้นเล่นเทนนิส แต่มีเพียง
5 ล้านคน ได้เรียนวิธีเล่นเทนนิส
5 แสนคน เรียนเทนนิสอาชีพ
5 หมื่นคนได้ลงแข่งขัน
5 พันคนได้มาถึงแกรนด์สแลม
50 คนได้เข้ารอบวิมเบิลดัน
4 คนเข้ารอบรอง
2 คนเข้ารอบชิง
และตอนที่ฉันได้ถือถ้วยชนะเลิศ
ฉันไม่เคยถามเลยว่า ทำไมพระเจ้าถึงเลือกฉัน
ฉะนั้น เวลาที่ฉันได้รับความเจ็บปวดเช่นนี้
ฉันจะถามพระเจ้าว่า ทำไมต้องเป็นฉันด้วย ไปทำไมกัน
การมีความสุขทำให้เรามีชีวิตที่หวานชื่น
การต้องพิสูจน์ตัวเองทำให้เราเข้มแข็ง
ความเศร้าโศกทำให้เรามีความเป็นคน
ความล้มเหลวทำให้เรายังคงความอ่อนน้อมถ่อมตน
เอาไว้ได้โดยไม่หลงตนว่าเราเจ๋ง
ความสำเร็จทำให้เราเติบโตขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้เรายังเดินหน้าต่อไปคือศรัทธา
เป็นไงคะ คุณว่าควรแบ่งปันให้คนอื่นได้อ่านไหมคะ
บางครั้ง เราไม่พอใจในชีวิตที่เรามี
ในขณะที่มีคนอีกมากมายที่อยากได้ชีวิตแบบที่เรามี
เด็กที่วิ่งเล่นในทุ่ง มองเห็นเครื่องบินแล้วอยากเป็นนักบิน
แต่นักบินในเครื่องบินลำนั้นเมื่อมองเห็นบ้านในทุ่งหญ้า
ก็ฝันอยากกลับบ้าน นั่นคือชีวิต
ดังนั้น จงมีความสุขกับชีวิตที่มีจะดีกว่า
ถ้าความมั่งคั่งทำให้มีความสุขได้
คนรวยทั้งหลายแหล่ก็คงจะออกมากระโดดโลดเต้น
ตามท้องถนนกันหมดแล้ว
แต่ทำไมมีแต่เด็กจนๆ ที่ออกมากระโดดโลดเต้นตามท้องถนนล่ะ
และถ้าการมีอำนาจ ทำให้เกิดความปลอดภัยละก็ บรรดาคนสำคัญทั้งหลายก็คงไม่ต้องมี..รปภ.
แต่กลายเป็นว่าคนธรรมดาๆ กลับหลับสนิทกว่า
ถ้าชื่อเสียง ความสวย และความหล่อ หมายถึงความสัมพันธ์ที่ดี
ดาราศิลปินก็คงจะมีชีวิตครอบครัวที่วิเศษกว่าคนอื่น
ขอจงใช้ชีวิตที่เรียบง่าย...
ดำเนินไปด้วยความอ่อนน้อมและถ่อมตน
และมอบความรักอันจริงใจแก่ผู้คน
และมีชีวิตอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขนะคะ
Credit : Teerawat Tanbu
ภาพ : http://i2.cdn.turner.com/…/150512090956-36-seventies-timeli…
บทความคุณภาพจากเพจ "เรื่องดีๆมีข้อคิด"

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

> เผย "7 วิถีสู่อิสรภาพ" ใครอยากรวย ต้องอ่าน!!


เผย "7 วิถีสู่อิสรภาพ" 
ใครอยากรวย ต้องอ่าน!! 

หลายๆคนที่เป็นพนักงาน ไม่ว่าจะของรัฐหรือของเอกชน หรือประกอบธุรกิจส่วนตัว เชื่อว่าทุกคนต่างก็อยากที่จะมีอิสรภาพทางการเงินไม่มากก็น้อย แต่การที่เราจะมีอิสรภาพทางการเงินเพื่อให้มีอิสระในการใช้ชีวิตได้นั้น อันดับแรกๆเลยคือเราต้องตั้งเป้าหมายไว้ก่อน ว่าอิสระภาพที่เราต้องการเป็นแบบไหน ใช้เวลาเท่าไหร่ แล้วจะทำยังไงให้ได้มันมา

วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆที่จะทำให้ทุกคนได้อิสรภาพนั้นมา เริ่มต้นด้วย

1. สร้างทรัพย์สิน

เรียนรู้ที่จะสร้างทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเพื่อให้เกิดรายได้จากเงินสดไหลเข้ากระเป๋าทุกเดือน หรือสร้างทรัพย์สินเพื่อปลดหนี้สิน ต้องเข้าใจก่อนว่า บางทีแค่การประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างเดียว มันไม่ได้ทำให้คุณรวยขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้เท่ากับการสร้างทรัพย์สินที่ทำให้เกิดกระแสเงินไหลเข้าตลอดเวลา ซึ่งเมื่อทรัพย์สินสามารถสร้างรายได้ให้เราโดยที่เราไม่ต้องลงแรงทำงานถึงจะมีรายได้แล้ว มันคือ Passive Income ดีๆนั่นเอง

2. ยิ่งเข้าใจ ยิ่งได้

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า "ยิ่งเสี่ยง-ยิ่งได้ผลตอบแทนมาก" ขอบอกว่าจงลืมความคิดนี้ซะ เพราะมันไม่มีอยู่จริง! การที่คุณจะทำอะไรซักอย่างแล้วเริ่มต้นด้วยความไม่รู้ นั่นคือความเสี่ยง! แล้วการที่คุณเสี่ยงมาก มันก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะเสียหายมากขึ้นตามไปด้วย แต่กลับกัน หากคุณสนใจสิ่งไหนแล้วศึกษาหาความรู้เรื่องนั้นอยู่ตลอดเวลา ความรู้นั้นแหละจะช่วยทำให้เกิดผลตอบแทนขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

3. ชีวิตต้องมีแผน

ข้อนี้คือการต่อยอดมาจากข้อ 2 การจะทำอะไรสักอย่างนอกจากจะต้องรู้และเข้าใจให้รอบด้านแล้ว เมื่อมีความรู้แล้ว เราต้องมีแผนการ ขับรถยังต้องมีแผนที่ แล้วชีวิตจะไม่มีแผนการได้ยังไง ไม่ว่าจะขายของ ลงทุน หรือทำอะไรก็ตามแต่ เราจึงต้องมีลำดับขั้นตอนแผนการเผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆเตรียมไว้ด้วย พลาดมาจะได้ไม่เจ็บตัวมากไป

4. คุณค่าที่คุณคู่ควร

อาจจะเคยได้ยินสโลแกนนี้มาจากโฆษณาของสินค้าชื่อดังยี่ห้อหนึ่ง ใช่ครับ ชีวิตเราก็ไม่ต่างกัน เคยไหมครับที่เราคิดว่ารายได้ปัจจุบันมันไม่เหมาะกับเราเลย ทำไมเราไม่ได้เยอะกว่านี้ ลองคิดกลับกัน ลองพิจารณาตัวเองดูก่อนว่า แล้วเราหละ เรามีคุณสมบัติอะไรที่จะสามารถทำรายได้มากกว่าที่เราได้ในปัจจุบันบ้าง? ถ้าพิจารณาดูแล้วว่าเรามีคุณค่ามากกว่ารายได้ปัจจุบัน รออะไรอยู่ครับ? หาทางไปสิ แต่ถ้าคิดดูแล้วเราไม่สามารถสร้างมูลค่าให้เท่ากับค่าจ้างที่เราได้ในปัจจุบันได้ ผมอยากให้คุณขอบคุณนายจ้าง หัวหน้า ที่ยังจ้างคุณอยู่เถอะครับ เพราะถ้าคุณเจ๋งจริง คุณมีทางเลือกมากมายแน่นอน คอนเฟิร์ม!

5. ไอเดียจงมา อย่าเอาราคาเป็นตัวตั้ง

คนที่ประสบความสำเร็จเขาจะมีไอเดียผุดขึ้นมาก่อนเสมอนะครับ ก่อนที่จะคิดถึงเรื่องราคาค่างวด ขอแค่มีไอเดียเถอะครับ เรื่องเงินจะตามมาเอง หากไอเดียคุณดี คุณจะสามารถหาแหล่งเงินทุนที่จะมาซัพพอร์ตคุณได้เอง และที่สำคัญ เรื่องเงินมันเรื่องรองครับ

6. ชีวิตคือการแบ่งปัน

การมีชีวิตเกิดมาเพื่อแบ่งปัน คุณค่าของคุณจะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆครับ และเชื่อเถอะ ไม่มีใครสำเร็จอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียว คุณจำเป็นต้องหาคนที่ไว้ใจได้มาเป็นหุ้นส่วน ใน 1 วัน ทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่าๆกัน ลองคิดดูว่าถ้าคุณมีเพื่อนรู้ใจมาช่วยงาน ใน 1 วันคุณจะสามารถสานฝันไปได้เยอะขนาดไหน เมื่อเปรียบเทียบกับการที่คุณต้องทำอะไรคนเดียว

ลองมองคนรอบๆตัวดูสิครับ ไม่แน่ว่าคุณอาจจะมีหุ้นส่วนที่ดีอยู่แล้ว แต่คุณแค่มองข้ามไปเท่านั้นเอง

7. จะเล่นเกมชีวิต ต้องพิชิตกติกา

(Credit: lawpracticetoday)
อย่าถามหาความยุติธรรมจากโลกใบนี้ครับ ทุกคนมักมีที่รักมักที่ชังเสมอ เพราะฉะนั้นจงเรียนรู้กฎกติกาของเกมชีวิตต่างๆที่เราลงไปเล่นตลอดเวลาครับ เกมในคอมพิวเตอร์หรือมือถือมีกติกาการเล่นฉันใด ชีวิตจริงก็ไม่ต่างฉันนั้น หากเราเรียนรู้กติกา ทุกกติกามักมีช่องโหว่ให้เล่นเสมอ

และนี่คือ 7 เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จและได้รับอิสรภาพอย่างที่หวังไว้ ลองทำดูแค่วันละข้อก็ไม่เสียหายครับ

Credit: ข่าวดัง

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

> อยากประสบความสำเร็จในชีวิต ทำได้แน่ แค่ 5 ข้อ


อยากประสบความสำเร็จในชีวิต ทำได้แน่ แค่ 5 ข้อ

ความสำเร็จ เปรียบเสมือนหลักชัยที่ทุกชีวิตต่างเฝ้าแสวงหา ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จทางด้านหน้าที่การงาน ความสำเร็จทางด้านการเรียน ความสำเร็จทางด้านความรัก ความสำเร็จทางด้านชีวิตครอบครัว  ตลอดจนถึงความสำเร็จอื่นใดก็ตาม ต่างก็นับเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความสุขแก่ชีวิตทั้งสิ้น แต่ความสำเร็จในชีวิตนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาโดยง่ายดังใจคิด ทว่าต้องอาศัยพื้นฐานของทัศนคติอันดีเป็นที่ตั้ง

สำหรับวันนี้ เพื่อเป็นการแบ่งปันข้อคิดในการใช้ชีวิต จึงขอนำเสนอเป็นบทความภายใต้หัวข้อ “แนวคิด 5 ข้อ สำหรับคนที่ อยากประสบความสำเร็จในชีวิต  ” ส่วนจะมีแนวคิดใดที่น่าสนใจบ้างนั้นขอเชิญติดตามรับชมไปพร้อมกันครับ

ข้อที่ 1 มีต้นแบบที่ดี

แนวคิดสู่ความสำเร็จที่สำคัญประการแรก ได้แก่ การมีต้นแบบที่ดี การมีต้นแบบที่ดีเปรียบเสมือนกับชีวิตมีทางลัดในการก้าวเดินไปสู่เป้าหมาย การเรียนรู้จากบุคคลต้นแบบ ในที่นี้อาจไม่ใช่การลอกเลียนแบบชีวิตให้เหมือนใครสักคนไปเสียหมดทุกด้าน แต่อาจเป็นเพียงด้านใดด้านหนึ่งซึ่งเราเห็นว่าบุคคลท่านนั้นประสบความสำเร็จและสร้างความประทับใจให้กับเรา ซึ่งถ้าหากท่านใดมีบุคคลผู้เป็นต้นแบบอยู่แล้วก็อาจลองหาโอกาสพูดคุย ติดตามจากงานเขียน หรือบทสัมภาษณ์ของบุคคลท่านนั้น เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ วิธีคิด ตลอดจนมุมมองในการใช้ชีวิต จากนั้นจึงนำบทเรียนที่ได้รับมาปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตนเอง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้สามารถก้าวเดินไปสู่ความสำเร็จได้โดยไม่เสียเวลากับการลองผิดลองถูกมากนัก

ข้อที่ 2 เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

เคล็ดลับที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตข้อถัดมา ได้แก่ การเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ แนวคิดข้อนี้เปรียบเสมือนเป็นหัวใจสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้เป็นอันขาด เนื่องจากการเรียนรู้และพัฒนาตนเองนับเป็นสิ่งที่จะทำให้เราก้าวพ้นจากสภาวะที่เป็นอยู่ไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้ อนึ่ง การเรียนรู้นั้นไม่ใช่สิ่งอันจะเกิดขึ้นได้เพียงแต่ในห้องเรียนหรือจากครูอาจารย์เท่านั้น เพราะในความเป็นจริงการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลาและทุกจังหวะของชีวิต เราอาจเรียนรู้ได้ทั้งจากประสบการณ์ของผู้อื่น หรือแม้แต่ประสบการณ์โดยตรงของตัวเราเองด้วยการเฝ้าสังเกต ไม่ว่าจะในแง่ของปัญหาที่ต้องเผชิญ วิธีการรับมือหรือจัดการกับอุปสรรคที่เกิดขึ้น ความยากลำบาก หรือแม้แต่ประสบการณ์อื่นใดก็ตาม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ให้ข้อคิดทั้งสิ้น และสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ เมื่อเราได้เรียนรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็จำเป็นที่จะต้องรู้จักนำความรู้นั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ นำมาพัฒนาตนเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากทำเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอก็จะสามารถทำให้เราทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในที่สุด

ข้อที่ 3 รีบลุกขึ้นแล้วก้าวเดินต่อไป

ทุกชีวิตย่อมต้องพบเจอกับปัญหา และบ่อยครั้งที่เราทุกคนอาจพบว่าตนเองได้พลั้งเผลอทำในสิ่งที่ผิดพลาด แต่ทุกความผิดพลาดไม่ควรเป็นสิ่งที่จะทำให้เราฉุดรั้งตัวเองไว้ในห้วงอารมณ์อันขุ่นมัว หรือบั่นทอนกำลังใจของตนเองในการที่จะลงมือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อไป ทว่าควรจะนับเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และไม่วกกลับไปสู่ความผิดพลาดนั้นอีก หลายครั้งที่ความผิดพลาดถูกหยิบยกมาเปรียบเทียบกับการหกล้ม ซึ่งหากเป็นจริงดังเช่นคำเปรียบนั้น เคล็ดลับสำคัญก็คือการรีบลุกขึ้นมาเสียแต่โดยเร็ว หรือรีบสลัดตัวเองออกจากกับดักที่จะคอยบั่นทอนกำลังใจนั่นเอง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ชีวิตก้าวเดินต่อไปสู่หลักชัยแห่งความสำเร็จดังที่ปรารถนาได้ในที่สุด

ข้อที่ 4 ไม่รอช้าที่จะคว้าโอกาส

เพราะโอกาส คือ ประตูสู่ความสำเร็จ ทุกชีวิตที่ต้องการก้าวไปสู่ความสำเร็จจึงไม่ควรรอช้าที่จะคว้าโอกาส ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในหน้าที่การงาน โอกาสในการออกเดินทาง โอกาสที่จะได้พบปะผู้คน ได้พบเจอประสบการณ์อันแปลกใหม่ ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าโอกาสดังกล่าวนี้จะผ่านมาอีกหรือไม่ หากไม่รีบไขว่คว้าไว้เสียแต่โดยเร็ว โอกาสที่ดีก็อาจหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย สำหรับแนวคิดข้อนี้จึงต้องนับว่าสำคัญยิ่งโดยเฉพาะสำหรับผู้ซึ่งวาดหวังที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต

ข้อที่ 5 เลือกเส้นทางที่เหมาะสม

หลายครั้งที่ชีวิตต้องก้าวมาถึงจุดที่ต้องพบกับทางเลือก ซึ่งราคาอันแสนแพงที่ต้องจ่ายในการเลือกเดินไปบนเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งก็คือ โอกาสในการเดินไปตามเส้นทางที่เหลือ หัวใจสำคัญที่จะใช้รับมือต่อภาวะดังกล่าวก็คือ สติในการพิจารณาอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ จะต้องพิจารณาโดยรอบด้าน ว่าแต่ละเส้นทางที่มีโอกาสก้าวเดินต่อไปนั้นมีความเหมาะสมต่อตัวเรามากน้อยอย่างไร มีความเสี่ยงหรือไม่ และเราจะได้อะไรจากการเลือกนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อตัดสินใจเลือกทางเดินของชีวิตได้แล้ว สิ่งที่ควรทำก็คือ การมานะทุ่มเทที่จะก้าวเดินไปบนเส้นทางนั้นโดยไม่ลังเล เพราะหากเราได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เส้นทางที่เลือกนั้นก็ย่อมจะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตได้

หลังจากที่ได้รับชมแนวคิดทั้ง 5 ข้อไปแล้ว ก็หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์และสามารถนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้ สุดท้ายนี้ก็คงต้องขออวยพรให้ทุกท่านพบเจอแต่สิ่งที่ดี และก้าวไปสู่ความความสำเร็จแห่งชีวิตดังปรารถนาทุกประการ

Credit: Money Hub

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

> หนังดี ที่นักธุรกิจต้องดู American Dreams in China


หนังดี ที่นักธุรกิจต้องดู American Dreams in China

American Dreams In China

หลังจากที่ พวกเรา ได้ชาร์ตพลัง
หลังหยุดกันมาแล้ว
ผู้เขียน ขอแนะนำ วิธีการง่ายๆ
ในการก้าวกลับเข้าสู่ โลกของการทำงาน
นั่นก็คือ การได้ดูหนัง สร้างแรงบันดาลใจ ดีๆ สักเรื่องค่ะ
” สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ในคำพูดหรอก
มันอยู่ในสิ่งที่ ไม่ได้พูดต่างหาก ”
( 你不需要知道我说的什么, 你要知道我沒说什么 )
American Dreams In China
คำคมประโยคนี้ หากกล่าวขึ้นลอยๆ
น้อยคนที่ จะโยงเข้าสู่เรื่อง โลกธุรกิจ หรือ การเงิน
เหมือนกับที่ ผู้เขียน นึกถึง เรื่อง “ความรัก”
เป็นอันดับแรก….
นี่คือ ภาพยนต์จีน ไม่กี่เรื่อง ที่ต้องขอใช้คำว่า “ขึ้นหิ้ง”
“American Dreams in China”
中国合伙人 Zhōngguó héhuǒ rén
กำกับโดย Peter Chan ( คนที่กำกับ เถียนมีมี่ คนนั้นล่ะค่ะ )
ตัวหนังสร้างมาจากเรื่องจริง
ของเจ้าของบริษัท New Oriental Education & Technology Group
( อยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ค เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้มูลค่าน่าจะหลักแสนล้าน )
เป็นเรื่องราว ของเพื่อนรักสามคน
ที่ทำธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา
ที่เน้นให้เด็กจีน สอบโทเฟิ่ล ให้ผ่าน
และช่วยเรื่องวีซ่าไป USA

หลังคว้ารางวัล Best Feature Film,
Best Director and Best Actor
จาก Golden Rooster
หนังก็เป็นที่นิยมมาก ในกลุ่มวัยรุ่นจีน
(แอบเห็นคนอเมริกัน มาคอมเม้นน์ ในเวปจีนกันอุ่นหนาฝาคั่ง)
เราคิดว่า หนังเรื่องนี้เป็นมากกว่า การบอกเล่าประวัติศาสตร์
…คำคมมากมาย ใส่มาในทุกๆซีน
จนกด Pause แทบไม่ทัน
20130521165401bd954
เราทุกคน ต่างมีความฝัน เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไปไม่ถึง ฝั่งฝัน
บางคนล้มเลิก บางคนก้าวต่อ
แต่ไม่ว่าจะล้มหรือจะลุกก็มักจะมีใครบางคน
ที่ไม่ว่าเราจะเป็นยังไงพวกเขาก็จะยังคอยยู่เคียงข้างเรา
นั่นก็คือ “ เพื่อนที่ดี ”
มีอยู่สองฉาก ที่ทำให้ รู้สึก ลืมหายใจ
ฉากที่เพื่อนสามคน ทะเลาะกัน
ให้ความรู้สึก เหมือนกำลังดูหนังแอคชั่น
ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีบ้านช่อง วินาศสันตะโรอะไร
อย่างฉากในหนังฮอลีวู๊ด
เราชอบภาพยนต์จีน น้อยมาก แทบนับเรื่องได้
สำหรับเรื่องนี้ ขอให้เป็น อันดับหนึ่งในใจ <3
ดุจบ ต้องลุกขึ้นปรบมือให้อีก สามนาที
ดีวีดี ออกแล้ว หาไม่ยากค่ะ
highly recommended มาก
20130419123505195
สำหรับ ทุกท่านที่กำลัง ต้องการแรงบันดาลใจ
และ ได้ทั้ง ความบันเทิง Feel Good +ตลก+ ซาบซึ้ง +สาระ
รับรองว่า ดีงาม แชร์เลย
ที่มา : http://www.leaderwings.co/life/american-dreams-in-china/

"ผมชอบประโยคนี้..มากครับ
你 不 需 要 知 道 我 说 的 什么,
你 要 知 道 我 沒 说 什么
สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ในคำพูดหรอก
มันอยู่ในสิ่งที่ 'ไม่ได้พูด' ต่างหาก"

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

> สูตรลับความสำเร็จด้วย Future Vision


สูตรลับความสำเร็จด้วย Future Vision

คุณเคยเป็นเหมือนกันไหม เวลาใกล้สิ้นปี หลายคนไปหาหมอดู เพื่อต้องการรู้ชีวิตในปีหน้า แต่คุณรู้ไหมว่า 80-90% หมอดูทำนายอดีตแม่นกว่าอนาคต เพราะผมเชื่อว่าเราทุกคนสามารถกำหนดชีวิตของตัวเราเองได้ ดังคำกล่าวของขงเบ้งที่ว่า “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน”และนี่เองเป็นเหตุผลที่หากคุณได้อ่านบทความเรื่อง Future Vision นี้แล้ว คุณจะได้เห็น “วิธีคิด” และ “วิธีการ” ของการกำหนดอนาคตชีวิตของตัวเอง ไม่เหมือนกับการเขียนฝันตั้งเป้าหมาย หรือดรีมบอร์ดทั่วๆไป ที่เราเคยทำกันช่วงสิ้นปี มาดูกันครับว่าแตกต่างอย่างไร
“ความลับ” อันยิ่งใหญ่ของคนที่ประสบความสำเร็จบนโลก คือ การมีภาพในอนาคตที่ชัดเจน คนทั่วไปตั้งเป้าหมายต้นปีเพื่อที่จะลืมทำตอนปลายปี และพอนึกขึ้นได้ก็ลุกขึ้นมาตั้งเป้าหมายใหม่ ชีวิตจึงไม่ไปไหน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีหลายคนก็ยังอยู่ที่เดิม แต่สิ่งสำคัญคือ ถ้าคุณอยากเป็นคนที่ตัวใหญ่ขึ้น เก่งขึ้น และประสบความสำเร็จ คุณต้องเริ่มวาดภาพในอนาคตของตัวเองออกมา และนี่คือ “พิมพ์เขียว” ในชีวิตของตัวคุณว่าจะออกแบบเส้นทางชีวิตอย่างไร ไม่ต้องรอพึ่งหมอดู หรือคำทำนาย เพราะเราได้ออกแบบชีวิตของเราเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือคือวิ่งตามเส้นทางที่เรากำหนด เสมือนมี GPS คอยนำทางในชีวิตเรา
ใครก็ตามที่ได้รู้เคล็ดลับข้อนี้ และได้ลงมือทำ คุณจะเห็นภาพในอนาคตอีก 1 ปีข้างหน้า คุณจะมองเห็นเลยว่าการใช้ชีวิตแบบมีเข็มทิศหรือแผนที่นำทาง กับการใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์มันต่างกันยิ่งนัก  อย่างแรกเลย คือ เห็นเส้นทางชีวิตของตัวเองใน 1 ปีข้างหน้า สิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้ไปถึงฝันในแต่ละไตรมาส หรือในแต่ละเดือนมีอะไรบ้าง และเป็นเครื่องมือตรวจสอบตนเองว่าคุณได้พาตัวคุณเองเดินมาไกลถึงจุดไหนแล้ว หรือยังอยู่ที่เดิม การพัฒนาตัวเองให้ตรงตามความฝัน คุณต้องทำให้ครบทุกมิติของชีวิต ตั้งแต่เรื่องเงิน งาน ครอบครัว สุขภาพ ฯลฯ การประสบความสำเร็จมันไม่ใช่แค่คุณมีเงินเพิ่มขึ้นอย่างเดียวเท่านั้น คนเราต้องการ การเติมเต็มทั้งในเรื่องวัตถุและจิตใจ
 ตัวอย่างที่เขียนจนเป็นจริง
เคสตัวอย่างของผมเอง ผมได้เขียน Future Vision เมื่อปีทีแล้ว และมันเป็นจริงโดยที่ผมเองก็ยังแปลกใจ ช่วงเวลาสิ้นปี  2557  ผมเขียนไว้ว่า ผมต้องการแปลหนังสือ The Millionaire Master Plan ให้เป็นภาษาไทย ซึ่งผมรู้ว่าการที่จะซื้อลิขสิทธิ์หนังสือมาได้นั้น ต้องมีเงินทุนจำนวนมาก ตอนที่ผมเขียนความฝันข้อนี้ ผมไม่มีเงินที่จะซื้อลิขสิทธ์ด้วยซ้ำ ไม่มีเงิน ไม่รู้ว่าจะทำมันออกมาได้อย่างไร แต่เมื่อผมเขียนว่ามันจะต้องเกิดขึ้น และความจริงที่ทำให้ผมขนลุก คือ ผมได้แปลหนังสือนี้ เร็วกว่าระยะเวลาที่ตั้งไว้ The Millionaire Master Plan ถูกแปลเป็นไทยว่า                “แผน 9 ขั้นปั้นคุณเป็นเศรษฐี” โดยความช่วยเหลือของสำนักพิมพ์ Stock2Morrow ที่เขามองเห็นว่าเล่มนี้เนื้อหามันดีมาก สุดท้ายผมไม่ต้องลงทุนซื้อลิขสิทธิ์หนังสือเองด้วย ผมทำให้หนังสือที่เป็น New York Time Bestseller กลายเป็น Thailand Best Seller ภายใน  2 สัปดาห์!
มีเคสตัวอย่างที่เป็นนักเรียนในคลาสของผม เขาเขียน Future Vision จนประสบความสำเร็จ ผู้ชายคนนี้ทำงานเป็นวิศวะกรโรงงานชื่อดังแห่งหนึ่งในกทม.เขาได้เขียนและแปะ Future Vision ไว้ที่บ้านในมุมที่มองเห็นได้ นอกจากอาชีพวิศวะกร เขามีงานอดิเรก คือ วิ่งมาราธอน และความใฝ่ฝันของนักวิ่งหลายๆคน คือ งานวิ่ง “โตเกียวมาราธอน” ซึ่งยากมากๆๆ ที่จะมีโอกาสได้รับการคัดเลือกเข้าไปวิ่งในรายการนี้  แต่เขาได้เขียนสิ่งนี้ลงไปใน Future Vision ไม่น่าเชื่อเวลาไม่ถึง 3 เดือน ใบสมัครที่ส่งไปได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 30,000 คน จากผู้สมัครทั้งหมด 300,000 คนทั่วโลก และทุกวันนี้เขาลาออกจากงานประจำ และทำธุรกิจตามที่ตั้งใจไว้ เหมือนที่เขียนไว้ใน Future Vision ไม่กี่เดือนก่อน คุณรู้สึกตื่นเต้นเหมือนผมแล้วหรือยัง
 เริ่มออกแบบ Future Vision
ผมเรียกเทคนิคนี้ว่า “การมองย้อนกลับ”  ให้คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็น “ผู้กำกับ” แล้วกำลังสร้างภาพยนตร์ชีวิตตัวเอง โดยมีตัวเราเป็นนักแสดง ยิ่งบทชีวิตที่คุณเขียนมันอินเท่าไหร่ ความฝันของคุณก็จะชัดขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีผู้อ่านหลายคนบอกว่าให้เขียนขึ้นมาเลย มันนึกไม่ออก วันนี้เราจึงมีคำแนะนำมาให้ ว่าควรเขียนอย่างไร
 เริ่มต้นด้วยการใช้จินตนาการ ว่าวันนี้ คือ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 หรือ 1 ปีนับจากนี้
คุณได้ผ่านอะไรมาบ้าง โดยใช้คำที่เป็นปัจจุบัน  ไม่ใช้คำว่า “จะทำ” ยกตัวอย่างเช่น
 “ฉันได้สร้างยอดขายได้ 1 ล้านบาท จากการขายงานให้ลูกค้ารายใหญ่ จำนวน 5 ราย”
“ฉันได้ซื้อบ้าน ราคา 5 ล้านบ้าน ให้พ่อแม่ตามที่ตั้งใจไว้”
 วิธีการมีง่ายๆด้วยการใช้กระดาษ A4 จำนวนกี่แผ่นก็แล้วแต่เรื่องราวของคุณ หรือจะเขียนใส่คอมพิวเตอร์ก็ได้ พร้อมแล้วมาเริ่มกันได้เลย…
 ให้ขึ้นต้นประโยค ด้วยวันที่_________เดือน_______ปี________
 ตัวอย่าง: 31 ธันวาคม 2559

ฉันรู้สึกสำนึกบุญคุณสิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ซึ่งในปีที่ผ่านมาฉันได้ทำอะไรบ้าง
แบ่งเป็น มิติแต่ละด้าน 9 ข้อ ดังนี้
  1. กระแสเงินสด และสินทรัพย์ของฉัน ให้คุณจินตนาการและเขียนมันออกมาว่าคุณมีรายได้เท่าไหร่ต่อเดือน ที่คุณพึงพอใจกับมันจริงๆ ถ้าคิดไม่ออกก็เงินจำนวน ที่คุณจะเลี้ยงดูครอบครัวคุณได้แบบไม่ต้องกังวล  ถ้ามีหุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์ ให้เขียนลงในข้อนี้ ถ้ายังไม่มี แต่คุณต้องการมัน ก็เขียนไปเลยว่า คุณมีพอร์ตหุ้นเท่าไหร่ มีอสังหาฯกี่ที่ มีบ้านของตัวเองแล้ว และสิ่งนี้มันสร้างผลตอบแทนที่คุณต้องการเท่าไหร่
  2. เวลาของฉัน ถามตัวคุณเองดูว่าทุกวันนี้เราต้องการเวลาเพิ่มไหม หลายครอบครัวทำงานหนัก ไม่ได้เจอหน้าลูก บางคนอยากมีเวลาอยู่กับพ่อ แม่ แต่ด้วยภาระหน้าที่ทำให้มันเป็นไปได้ยากเหลือเกิน ที่จะให้เวลากับพวกเขาอย่างเต็มที่ หลายๆคนต้องรีบกลับมาทำงานเพราะวันลาหมด ลองเขียนจากใจดูว่าถ้าคุณมีเวลาเพิ่มขึ้น คุณจะใช้เวลากับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ และคุณรู้สึกอย่างไร
  3. งาน/ ธุรกิจของฉัน ถ้าคุณมีธุรกิจอยู่แล้วเขียนไปเลยว่าปีหน้าธุรกิจคุณเติบโตขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ยอดขายเติบโตขึ้นเท่าไหร่จากปีก่อน ถ้ายังไม่มีเขียนออกมาว่าคุณอยากทำธุรกิจอะไร ขายสินค้าอะไร หรือหน้าที่การงานของคุณได้เลื่อนขั้นในตำแหน่งไหน เขียนให้รู้สึกว่าถ้าฉันได้ทำสิ่งนี้ ชีวิตฉันเปลี่ยนแน่นอน
  4. ทีมงาน และลูกค้าของฉัน หลายคนทำงานแบบเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เหนื่อยอยู่คนเดียว  ถ้าไม่มีคุณงานไม่เดิน จะดีกว่าไหม ลองตั้งเป้าดูว่าปีหน้าคุณจะทีมงานเข้ามาช่วย งานคุณเดินหน้าได้มากขึ้นกว่าเดิม คุณเองเหนื่อยน้อยลง สำหรับใครที่มีทีมงานอยู่แล้ว ระบุให้ชัดขึ้นเลย ปีหน้าอยากได้ทีมงานเป็นคนแบบไหน มีนิสัยอย่างไร เก่งเรื่องอะไร และพวกเขาเข้ามาช่วยงานคุณได้ยอดเยี่ยมแค่ไหน  ในส่วนของลูกค้า ลูกค้าที่ไม่เหวี่ยงวีน  ลูกค้าที่จงรักภักดี พร้อมจะจ่ายเงินให้กับสินค้าและบริการของคุณก็มีอยู่จริง จินตนาการถึงพวกเขาว่าคุณอยากได้ลูกค้าเจ๋งๆ ในข้อนี้คุณจะเขียนถึงพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจของคุณด้วยก็ได้
  5. สุขภาพของฉัน การเขียนถึงสุขภาพตัวเองเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม สุขภาพที่ดี คือ กำลังสำคัญที่ทำให้คุณทำความฝันได้สำเร็จ เขียนถึง 6 Pack ที่ใฝ่ฝันไว้ หรือน้ำหนักที่หายไป รอบเอวที่ลดลง เขียนบรรยายความฟิตปั๋งของร่างกายที่คุณต้องการออกมา เป็นหน่วยระบุชัดเจนลดลงกี่กก. หรือจะเขียนว่าได้ออกวิ่งมาราธอนก็ได้ อยากได้สุขภาพที่ดีคุณกำหนดได้
  6. ครอบครัวของฉัน เป็นอีกข้อที่สำคัญ Passion ของคนจำนวนมาก เริ่มจากครอบครัว คลองคิดดูว่า ถ้าสิ่งที่คุณคิดมันสำเร็จแค่ 10% ครอบครัวคุณจะมีความสุขแค่ไหน และถ้าสำเร็จเกิน 50% คุณจะยิ้มได้กว้างขนาดไหน อย่าลืมว่าหน่วยของครอบครัวเป็น    หน่วยเล็กที่ทรงพลังมากที่สุด ถ้าข้างในคุณเติมเต็ม ข้างนอกคุณก็ดีตาม
  7. เพื่อนของฉัน เพื่อนที่คุณมีอยู่ ดึงดูดให้คุณสำเร็จได้ไหม ถ้ายังไม่ได้ คุณต้องการรู้จักใครเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ อาจจะเป็นคนเก่งๆ ที่คุณแอบปลื้ม แล้วอยู่ดีๆ คุณกับเขากลายเป็นที่ปรึกษาให้กับคุณ มันดีไหมละ ลองถามใจตัวองดู แล้วเขียนลักษณะ หรือระบุชื่อเพื่อนที่คุณต้องการออกมา
  8. Passion ของฉัน  อะไรคือ สิ่งที่คุณรัก และคุณสามารถทำเงินออกมาได้ อ่านมาถึงข้อนี้อย่าเพิ่งตกใจ สำหรับบางคนที่ไม่รู้ว่าแล้ว Passion มัน คือ อะไร เคล็ดง่ายๆ ของข้อนี้ คือ กิจกรรมอะไรที่คุณอยากทำมัน และมีคามสุข ในช่วงที่ทำอยู่แม้จะไม่ได้เงินแต่คุณก็ยังมีความสุข บางคนมี Passion ในการปั่นจักรยาน  การเดินทางไปท่องเที่ยว การสอนหนังสือ การเป็นวิทยากร การเข้างานสัมมนาเพื่อพัฒนาตัวเอง หรือบางคนอยากทำให้ครอบครัวมีความสุข สิ่งเหล่านี้เป็น Passion ได้หมด และ  Passion ไม่ได้มีแค่ 1 อย่าง มีหลายอย่างก็ได้ เขียนออกมาและดูว่าอะไรที่สามารถทำเงินให้คุณได้บ้าง ถ้าคุณเจอแล้ว มันเยี่ยมยอดมาก
  9. การช่วยเหลือสังคม ข้อสุดท้ายให้คุณคิดว่า เมื่อความสำเร็จที่คุณต้องการมันเดินทางมาครบหลายมิติ คุณได้รับสิ่งที่ตัวเองต้องการ และตามหา มาตั้ง 8 ข้อ ว้าว! มันช่างเป็นปีที่ยอดเยี่ยม ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเป็น “ผู้ให้” คุณอยากช่วยเหลือสังคมด้วยวิธีการใด ช่วยแบบไหน ช่วยอย่างไร ในวันที่คุณเติมเต็มในทุกๆด้าน
ช่วงให้คะแนนความฝัน 1-10
หลังจากเขียนเสร็จแล้ว กลับไปอ่านดูว่ามันสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวคุณเองขนาดไหน ถ้าคุณเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ และกำลังนั่งดูหนังเรื่องนี้อยู่  คุณจะให้คะแนน  1 – 10 ที่เท่าไหร่ วิธีวัดง่ายๆ คือ คุณตื่นเต้นไหมตอนอ่าน อ่านแล้วรู้สึกตื้นตันใจ มีความรู้สึกกลัวอยู่ลึกๆไหม ทำไมความฝันนี้มันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน  ผมจะบอกคุณว่าอย่าไปกังวลว่าจะทำได้ไหม วิธีการมันจะมาเอง ถ้าคุณชัดเจนว่านี้มัน คือ ความฝันของคุณจริงๆ  แต่ถ้าคะแนนที่คุณให้ไม่เต็ม 10 คะแนน ตรวจสอบดูว่าคะแนนที่หายไป อยู่ตรงไหน และกลับไปแก้ไขจนคุณรู้สึกว่าฝันของคุณครบ 10 คะแนน จึงถือว่าสมบูรณ์
อย่าลืมว่านี่เป็นความฝันของคุณเอง ถ้าคุณไม่กล้าฝัน โลกแห่งความจริงก็จะไม่ปรากฏ เมื่อคุณกล้าเขียน คุณกล้าที่จะเชื่อ แม้คุณจะไม่รู้วิธีการหรอกว่าจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไรตอนนี้  แต่ฉันเชื่อว่ามันต้องได้ ขอเพียงแค่ “เชื่อ” เคล็ดลับข้อนี้สำคัญมาก คนสำเร็จบนโลกทุกคนรู้เคล็ดลับข้อนี้  เราขอมอบ Future Vision  นี้ให้เป็นของขวัญกับทุกคนในปีใหม่ 2559  ขอเพียงแค่คุณลงมือทำทันที และแปะมันไว้ในที่ที่มองเห็นได้ มันจะดึงดูดสิ่งที่คุณต้องการเข้ามา ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับความชัดเจนที่คุณเขียน แต่หลายคนมักไม่ใช้ชีวิตแบบไม่มีความชัดเจน ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ถ้าคุณพยายามทำตัวเป็นอะไรก็ได้ เพื่อคนอื่น ในไม่ช้าคุณจะถูกลืม ขอให้คุณเริ่มต้นชัดเจนกับเส้นทางของชีวิตตั้งแต่วันนี้ และสำหรับใครที่อยากรู้หาหนทางว่า คุณค่าของตัวเอง คือ อะไรเข้าไปทำเทสฟรีได้ที่ www.millionairemasterplan.com/th หรืออ่านหนังสือ “แผน 9 ขั้นปั้นคุณเป็นเศรษฐี” เพื่อทำ Future Vision แบบเจาะลึก วางจำหน่ายที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ
บทความโดย พอล ณัฐศิษฏ วาจาสิทธิศิลป์ Global Partner และพี่เลี้ยงธุรกิจ Wealth Dynamics Thailand  – Thailand No.1 Business Accelerator for SME Community
ที่มา : http://wealthdynamicsthailand.com/2015/06/03/future-vision/

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

> ตีแผ่คำสอน "3 สุดยอดพระสงฆ์" อ่านแล้วชีวิตจะดีงาม



ตีแผ่คำสอน 3 สุดยอดพระสงฆ์ อ่านแล้วชีวิตจะดีงาม
        ด้วยความที่เมืองไทยขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ พุทธศาสนิกชนชาวไทยควรภูมิใจ เพราะอย่างน้อยประเทศไทยไม่เคยขาด "พระอริยสงฆ์" ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และที่สำคัญพระดีๆ ในประเทศไทยมีอยู่มากมาย เป็นภิกษุสงฆ์โดยเนื้อแท้ตามหลักพระพุทธศาสนา โดยแต่ละท่านให้แง่คิดผ่านคำสอนที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยข้อคิดและหลักธรรมมากมาย ทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live ถือโอกาสอันดีขอรวบรวมแง่คิด และคำสอนที่น่าสนใจของ 3 สุดยอดพระสงฆ์ ดังต่อไปนี้!
       
        
       4 ปีไม่เคยลืม "หลวงตามหาบัว"
        
       ย้อนกลับไปเมื่อเช้าวันที่ 30 มกราคม 2554 พุทธศาสนิกชนสุดโศกเศร้ากับการจากไปของหลวงตามหาบัว พระสงฆ์สายวิปัสสนากรรมฐาน 20 รูป แบกเตียงที่สรีระสังขารพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด หรือวัดเกษรศีลคุณ ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ออกมาจากกุฏิ แม้ว่าเวลาจะผ่านมา 4 ปี แล้วแต่ภาพเหล่านั้นยังอยู่ในความทรงจำของศิษยานุศิษย์ของหลวงตาไม่เคยลืม 
        
       “หลวงตามหาบัว” อริยสงฆ์ผู้มอบธรรมและประโยชน์แก่แผ่นดิน แม้ว่าจะละสังขารไปแล้ว แต่สิ่งที่หลวงตาให้ไว้กับประเทศ คือ การทำพินัยกรรมไว้ 3 ฉบับ ระบุว่าทรัพย์สินทุกบาททุกสตางค์จากการบริจาคจากผ้าป่าช่วยชาติมอบให้คลังหลวงทั้งหมด นอกจากนี้ หลวงตามหาบัวหาไม่ได้มีเพียงบทบาททางด้านการเผยแผ่พุทธศาสนาและการปฏิบัติกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (พระอริยสงฆ์แห่งแผ่นดินอีสาน ผู้เชี่ยวชาญกรรมฐาน ที่หลวงตามหาบัวได้ฝากตัวเป็นศิษย์) เท่านั้น แต่ยังมีบทบาททางสังคมที่โดดเด่นรูปหนึ่งแห่งวงการสงฆ์ โดยเฉพาะเมื่อวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ที่ท่านเป็นทัพหน้าระดมเงินทองเพื่อช่วยชาติ และนี่คือคุณูปการที่ท่านได้ทิ้งไว้ให้แก่แผ่นดินผ่านมุมมองของบุคคลต่างๆ 
     
      

     
      

       
        
       พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี พระนักเทศน์ นักเขียน และผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตตยาลัย ก็ได้แสดงความรู้สึกผ่านมุมมองว่า หลวงตามหาบัวเป็นดั่งศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธ อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ภิกษุสามเณรเพื่อเป็นสมณะที่ดี
        
       “หลวงตามหาบัว ท่านเป็นบัวพ้นน้ำ ท่านเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธทั่วทุกภาค ทุกแห่ง ทั้งยังเป็นพระป่าที่มีความเมตตาต่อสังคมเมือง จะเห็นได้จากทุกครั้งที่บ้านเมืองมีวิกฤต ทั้งท่านยังกล้าเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ที่กล้าหาญทางจริยธรรม กล้าท้าทายอำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรม กล้าวิพากษ์วิจารณ์การเมืองน้ำเน่า กล้าเตือนสังคมไทยในประเด็นที่นอกลู่นอกทางอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจสำหรับภิกษุสามเณรที่ปรารถนาจะเป็นสมณะที่ดี หลวงตามหาบัวท่านจึงเป็นเหมือนลมหายใจแห่งพระป่าสายหลวงปู่มั่นที่ยืนหยัดอย่างโดดเด่น และพร้อมรับการท้าทายของยุคสมัยให้ผู้คนร่วมยุคสมัยได้ศึกษา เรียนรู้ ได้เคารพศรัทธา และได้รู้ว่าพระที่แท้จริงนั้นควรมีปฏิปทาอย่างไร”
        
       อีกหนึ่งเสียงของความรู้สึกสูญเสีย ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงตามหาบัว พระอาจารย์นพดล วัดป่าดอยลับงา จังหวัดกำแพงเพชร ท่านได้หวนระลึกถึงคุณงามความดีและคำสอนของหลวงตาที่เคยสั่งสอนไว้
        
       “หลวงตาเป็นผู้ที่นำเอาหลักคำสอนทั้งหมดของพระอาจารย์มั่น มาถ่ายทอดได้อย่างครบถ้วนที่สุด สรุปง่ายๆ ว่าท่านสอนให้ลูกศิษย์ลูกหาทุกคนมีสติ ปัญญา ศรัทธา และความเพียร มุ่งสู่ความพ้นทุกข์ ท่านว่ามือของตัวท่านกับมือของลูกศิษย์ ญาติมิตร เพื่อนฝูง ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใช้แทนกันได้”
       
      

     
        
       แม้ว่าการจากไปของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่คนไทยทั้งประเทศและลูกศิษย์ก็ยังคงระลึกถึงคุณงามความดีและคำสอนของหลวงตาที่เคยสั่งสอนไว้ สุดท้ายนี้คงต้องหยิบยกคำสอนหลวงตาตอนหนึ่งไว้ให้คนไทยในปัจจุบันนี้ว่า 
        
       "การช่วยชาติที่แท้จริง ให้ต่างหันมาแก้ไขที่ต้นเหตุ คือ การทรงมรดกธรรมของพระพุทธศาสนา เอาศีลเอาธรรม ความประพฤติดีงาม ด้วยเหตุผลหลักเกณฑ์เข้ามาอุดหนุนจิตใจ จนมีหลักประกันภายในใจ เรียกว่า มีหลักใจ โดยหันกลับมาปรับปรุงตัวเราแต่ละคนๆ ให้มีความประหยัด ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ด้วยการอยู่การกินการใช้การสอยการไปการมา 
        
       โดยให้ดูแบบของพระผู้มีหลักเกณฑ์ภายในใจ เป็นแบบอย่างของความประหยัด ของผู้มีหลักเกณฑ์เหตุผล ให้มีธรรมคอยเหนี่ยวรั้งไว้ในใจไม่ให้ถูกลากจูงด้วยกิเลสตัณหาราคะ ด้วยความโลภโมโทสัน จนเลยเขตเลยแดน เหมือนรถที่มีแต่เหยียบคันเร่ง ไม่เหยียบเบรก ย่อมเป็นภัยอันตรายร้ายแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ในที่สุด หากต่างมีการหันมาอุดหนุนทั้งทางด้านหลักทรัพย์ และหลักใจควบคู่กันไป ปัญหาต่างๆ ของชาติย่อมทุเลาเบาบางลงเป็นลำดับๆ ไป"
       
       หลวงพ่อคูณ "เทพเจ้าแห่งที่ราบสูง" 
        
       กลางปี 2558 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ซึ่งนับว่าเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่หลวงของวงการพุทธศาสนาอีกครั้งหนึ่ง ที่ได้สูญเสีย พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทโธ) หรือหลวงพ่อคูณ พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.อ่านขุนทด จ.นครราชสีมา ที่มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ และหากได้พบหรือได้สนทนาธรรมจะทราบว่าท่านคือ "เทพเจ้าแห่งที่ราบสูง" เพราะคำสอนของหลวงพ่อคูณนั้นมีเรียบง่าย เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา แต่แฝงไปด้วยข้อคิดและหลักธรรมมากมาย ดั่งเช่นคำคม 10 ข้อ "กูให้มึง" ที่กลายเป็นข้อคิด และเตือนสติให้กับชาวพุทธมาจนปัจจุบัน 
       
      

     
      
       1. ยิ่งเอามันยิ่งอด ยิ่งสละให้หมดมันยิ่งได้ 
        2. กูให้พวกมึงรู้จักพอเพียง 
        3. กูทำดีเขาจึงให้ของดีกูมา 
        4. กูไม่เคยยินดียินร้ายในลาภยศสรรเสริญ 
        5. กูดีใจที่เกิดมาเป็นคนจนเพราะได้สร้างทานบารมี ถ้ากูเกิดมาเป็นคนรวยป่านนี้ คำว่า บุญ ก็ไม่รู้จักกัน 
        6. เงินเป็นทาสกู กูไม่ยอมเป็นทาสเงิน 
        7. การทำตัวให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่นั้นง่าย แต่จะสร้างสมบุญให้มีบารมีนั้นเป็นเรื่องยาก ต้องเป็นผู้ให้ด้วยธรรมอันบริสุทธิ์จริง 
        8. กูจะทำให้ชาวบ้าน เพื่อตอบแทนข้าวน้ำ ที่เขาให้กูกินทุกวัน
        9. เกิดมาแล้ว รักความสงบ ให้มีศีลธรรมไว้ประจำใจทุกๆ คน โลกจะได้อยู่ชุ่มกินเย็น 
        10. พระไม่ได้อยู่กับคนชั่วแต่อยู่กับคนดี ให้นึกว่าพระมากับเราจะทำชั่วไม่ได้ อย่าทำตัวผิดศีลธรรม ผิดจารีตประเพณี โดยเฉพาะการทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
        
       ไม่หมดเพียงเท่านี้ หลวงพ่อคูณยังสอนสั่งในด้านต่างๆ ไว้มากมาย ทั้งสอนให้คนไทยมีศีลธรรม ให้ยึดมั่นในเรื่องของบาป บุญ คุณ โทษ ไม่เว้นแม้แต่ในเรื่องของการมีสติในเรื่องของความไม่ประมาท อีกทั้ง ต้องรู้จักหน้าที่ของตนเอง และอย่าทุจริตต่อคนอื่น
        
       “อยากให้บ้านเราเจริญนะ ไม่ยากหรอก ตั้งอยู่ในองค์ปัญจะทั้ง 5 คือรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์ ไม่ให้ขาด อย่าให้ด่างพร้อย เป็นมนุษย์สุดประเสริฐ หรือใครก็ตาม แม้แต่พระเราก็ต้องรักษาศีล 5 ถ้าไม่มีศีล 5 ประจำใจ ไม่ว่าพระรูปใดรูปหนึ่ง ก็เป็นพระไม่ได้เหมือนกัน
        
       “กูไม่มีอะไรมาก กูไม่มีอะไรจะสอนพวกมึงหรอก เพราะพวกมึงก็รู้ว่ากูพูดไม่เป็น พูดไม่เก่งเหมือนเขา เทศนาว่ากล่าวอะไรก็ไม่เป็น กูมีแต่ว่าให้ละชั่ว ทำดีกันเท่านั้นแหละ บุญบาปมีจริงลูกหลานเอ๊ย ให้เชื่อว่าบุญมีจริง บาปมีจริง ให้ละชั่ว ทำดี มีศีลธรรมประจำใจ บุญเห็นกับตา บาปเห็นกับตา รักตัวกลัวภัยอย่าทำชั่ว ให้ตั้งอยู่ในเมตตา”
        
       “การขับรถอย่างระมัดระวังไม่ประมาท สำคัญกว่าการเจิม อย่างโบราณท่านว่า วิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือก็ชนกันตาย การขับรถจะต้องดูทาง ถ้ามันคดโค้งจะต้องระมัดระวัง”
        “ลูกหลานเอ๋ย การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม จงทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด อย่าได้ทุจริตต่อหน้าที่เลย”
        
       “หากมึงคิดเป็นผู้นำของแผ่นดิน องค์กรหรือครอบครัวที่ดี มึงต้องทำตัวเหมือนกระโถน ยอมรับได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งเรื่องดีเลว เรื่องดีมึงเก็บไว้กับตัว เรื่องเลวมึงทิ้งไว้ตรงนั้น แม้เขาถูกหรือผิดมึงก็ต้องรับฟังค่อยๆ บอกให้เขาแก้ไข”
       
        
       จากคำสอนที่ไล่เรียงมานี้ จะเห็นได้ว่าเป็นคำสอนที่ล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าท่านจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่คำสอนเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ให้กับพุทธศาสนานิกชนไม่น้อย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมหลายคนจึงยกย่องให้ท่านเป็น "เทพเจ้าแห่งที่ราบสูง"
       
      

     
      

     
       ที่ใดมีกอด ที่นั่นมีกัด
        
       ต่อกันด้วยหลักธรรม คำสอนดีๆ จากพระอาจารย์มหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือรู้จักกันดีในนามปากกา ว.วชิรเมธีเป็นภิกษุชาวไทย มีชื่อเสียงว่าเป็นพระนักวิชาการ นักคิด นักเขียน และนักบรรยายธรรม ซึ่งท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงในเรื่องของหลักคำสอนที่เป็นคติธรรม คำคม ที่ให้ข้อคิดในหลักธรรมแห่งการดำเนินชีวิต ใช้ถ้อยคำที่อ่านและเข้าใจง่าย 
        
       โดยแต่ละข้อความคำคมแทรกคำสอนให้คนรู้จักคิด อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านที่สนใจหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้ได้นำไปปฎิบัติ เหตุนี้เองจึงทำให้เหล่าพุทธศาสนิกชนคนไทยได้เอามาแชร์ผ่านโลกออนไลน์กันเป็นจำนวนมาก และต่อไปนี้คือ 7 มหัศจรรย์แห่งชีวิต และ 7 หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี
     
      

     
        
       1. ความคิดดีๆ เป็นที่มาแห่งความสุข แน่นอนว่าเมื่อเรามีความคิดดีๆ โลกก็จะดีตามอย่างที่เราคิด
        
       2. ปัญญาดีย่อมมีความสุข สำหรับคนมีปัญญา วิกฤตอยู่ไหน ปัญญาอยู่นั่น ส่วนคนด้อยปัญญา โอกาสอยู่ไหน วิกฤตอยู่นั่น จงเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนปัญหาให้เป็นปัญญา เปลี่ยนอุปสรรคเป็นอุปกรณ์
        
       3. ชีวิตของคนดีคือชีวิตที่มีความสุข ดังท่านว่า ดอกไม้หอมได้บางดอก แต่มนุษย์หอมได้ทุกคน หากเขาเป็นคนดี กลิ่นดอกไม้แม้หอมขนาดไหน ก็หอมได้แต่ตามลมเท่านั้น ส่วนกลิ่นความดีของคนดีนั้น หอมหวนทวนลม ฟุ้งกระจายไปในทิศทั้งสี่ ดอกไม้ผลิบานแล้วไม่นานก็ร่วงโรย แต่ความดีของคนนั้น สถิตเป็นนิรันดร์เหนือกาลเวลา
        
       4. ปฏิสัมพันธ์ดีก็มีความสุข ซึ่งเป็นการเลือกคบมิตร โลกนี้มีมิตรอยู่ 3 ประเภทคือ 1. ปาปมิตร เพื่อนชั่ว จงอย่าคบ 2. กัลยาณมิตร เพื่อนดี จงคบ 3. พันธมิตร เพื่อนที่ผูกพันกันด้วยผลประโยชน์ จงระวัง
        
       5. ทำงานดีก็มีความสุข ท่านว่าไว้ คนจำนวนมากเป็นทุกข์ขณะทำงาน แต่เบิกบานเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ โดยหารู้ไม่ว่า ในหนึ่งสัปดาห์มีเสาร์-อาทิตย์แค่สองวัน จงเป็นสุขขณะทำงาน จงเบิกบานขณะหายใจ
        
       6. มองโลกในแง่ดี ชีวิตมีความสุข ดังผู้รู้ท่านหนึ่งกล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด” ใครทำความเข้าใจคำกล่าวนี้ได้อย่างลึกซึ้ง คนนั้นจะไม่ทุกข์ และเขาจะไม่หวั่นไหว ในความผันแปรของชีวิต
        
       7. ครอบครัวดีทวีความสุข ครอบครัวคือพื้นฐานสำคัญของชีวิต บุตรธิดาคืออนุสาวรีย์ของพ่อแม่ หากลูกเป็นคนดี อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็งดงาม หากลูกเลวทราม อนุสาวรีย์ของพ่อแม่ก็อัปลักษณ์
       
      

     
        
       จากทั้งหมดข้างต้นนี้ คือคำสอนในการใช้ชีวิตประจำวันให้มีความสุข ไม่ยึดติด ไม่สนวัตถุ ทว่า ท่าน ว.วชิรเมธี ก็ไม่หมดคำสอนเพียงเท่านี้ ท่านยังเข้าใจในเรื่องความรัก โดยใช้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามาสอน สอดแทรกทรรศนะของพระพุทธศาสนา เฉกเช่น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "ทุกๆ การยึดติดถือมั่น มีค่าเป็นความทุกข์เสมอ" ท่านได้แปลประโยคนี้เสียใหม่ว่า "ที่ใดมีกอด ที่นั่นมีกัด" ทุกๆ การครอบครอง มีค่าเท่ากับการขาดอิสรภาพในทรรศนะของมนุษย์
       
       

     
        
       หรือการสอนเรื่องความรัก ผ่านการตรัสไว้ของพระพุทธเจ้า “ความรักกับความทุกข์ เมื่อถูกพูดขึ้นมา ไม่ว่าจะพูดโดยผู้ชายหรือผู้หญิง หรือใครก็ตาม บริบทของคำว่าความรักกับความทุกข์ หรือความรักคือความทุกข์มักจะเป็นบริบทของความรักในเชิงชู้สาวเสียมากกว่า ดังนั้น ‘ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์’ จึงเป็นสัจธรรมสากลถูกต้องที่สุด 
        
       พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้ง 2,500 กว่าปี ถึงตอนนี้เราไม่ต้องเปลี่ยนแปลงคำกล่าวของพระองค์ท่าน แล้วทำไมมนุษย์โดยมากจึงมักบอกว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีสุข เพราะเขายังไม่ได้เรียนรู้ความรักตั้งแต่ต้นสายถึงปลายทาง คนที่บอกว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีสุข โดยมากมักเริ่มต้นแค่รู้จักความรักช่วงก่อนโปรโมชั่น พูดประโยคอย่างนี้กันทั้งนั้น พอเริ่มเรียนรู้ที่จะรักไปสักพักหนึ่ง ถ้าสังเกตอย่างละเมียดละไมก็จะเห็นว่ามันเริ่มสุขๆ ทุกข์ๆ ปนกันโดยตลอด” ท่านว.วชิรเมธี กล่าวไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง

ที่มา : http://www.kalasin3.go.th/view.php?article_id=27655

Follow Us On