ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559

> 10 ธุรกิจทำเงิน ที่สามารถทำได้หลังเลิกงาน

10 ธุรกิจทำเงิน ที่สามารถทำได้หลังเลิกงาน
ตามปกติแล้วถ้าใครทำงานประจำแล้ว ก็อาจจะไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจ หรือถ้าใครเป็นเจ้าของแล้วก็ไม่คิดจะมาทำงานประจำ และสำหรับพนังงานประจำบางคนก็มีคำถามในใจว่า จะลาออกเมื่อไหร่ดี? เพราะอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองซะเหลือเกิน อยากเป็นเจ้านายตัวเอง อยากเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ตัวเองปลูกมันขึ้นมา เราจึงรวบรวม 10 ธุรกิจทำเงินน่าสนใจ ที่ช่วยสร้างรายได้ในกระเป๋าหลังเลิกงาน มาฝากกัน โดยที่คุณเองไม่ต้องลาออกก็เป็นเจ้าของธุรกิจได้

1. ขายของกิน
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีฝีมือในการทำอาหารอร่อย แต่ต้องทำงานประจำทุกวัน การขายของกินไม่ว่าจะเป็นขายข้าวแกง หรือข้าวกล่อง ซึ่งคุณสามารถเลือกช่วงเวลาที่จะขายได้ด้วยตัวเอง เช่น เลิก 5 โมงเย็นทุกวัน เพราะจะได้ไม่กระทบต่องานประจำด้วย ก็ลองทำเมนูง่ายๆ มาลองขายก่อนก็ได้ อย่างเช่น ขายขนม ไก่ทอด และถ้าหากสินค้ายังขายไม่ดีก็อาจจะลองเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจับทางลูกค้าถูกว่าลูกค้าส่วนใหญ่ชอบทานอะไร ซึ่งอาชีพเสริมขายของกินนี้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานเสริมที่น่าสนใจและมีรายได้ดีเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น ยังสามารถต่อยอดธุรกิจด้วยการรับทำข้าวกล่องหรือรับออเดอร์ได้ด้วย

2. ขายในสิ่งที่คุณถนัด
จะดีแค่ไหนถ้าได้ทำงานที่ตัวเองชื่นชอบและยังเป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมรายได้ สามารถทำหลังเลิกงานได้ โดยการเขียนรวบรวมทักษะ ความรู้ของคุณผ่านการเขียน eBook หรือ digital content เมื่อนั้นก็จะดึงดูดคนที่อยากเรียนรู้ประสบการณ์การทำงานหรือความรู้ของคุณเองโดยปริยาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องสต๊อกสินค้าหรือมีต้นทุนการผลิตใดๆ ทั้งสิ้น

3. เผยแพร่สาระและความบันเทิงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
Podcasting หรือ การให้บริการบนเวิลด์ไวด์เว็บในรูปแบบของการเผยแพร่กระจายเสียง ที่คุณสามารถใช้เวลาเพียงชั่วโมงหรือ 3 ชั่วโมง ในการสร้างกลุ่มคนฟัง โดยเปิดโอกาสให้ใครก็ได้ที่มีคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เครื่องเล่นมีเดียดิจิติอล (Digital Media Player) สามารถดาวน์โหลดและรับฟังข่าวสารจากเครื่องเล่นได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ
ทีนี้เมื่อมีกลุ่มคนฟังเหนียวแน่น คุณก็เริ่มหารายได้จากสปอน์เซอร์หรือโฆษณามาลงได้ อาจจะต้องลงทุนอุปกรณ์นิดหน่อย แต่ podcast online นั้นฟรี ซึ่ง Really Simple Syndication (RSS) จะเข้ามาช่วยให้คอนเทนต์ของบริการพอดแคสต์ที่จัดทำขึ้นสามารถถูกพบโดยผู้สนใจได้ทั่วโลกนั่นเอง ตัวอย่างซอฟต์แวร์พอดแคสต์ที่ได้รับความนิยมในการใช้งานก็เช่น iTunes ของ Apple หรือ Google Play เป็นต้น

4. ขายสินค้าผ่าน social media
มันเป็นโอกาสดี ถ้าคุณใช้เวลาส่วนใหญ่กับการเล่น social media ในตอนเย็น ทำไมคุณไม่ใช้พื้นที่ตรงนี้ในการเพิ่มรายได้ให้กับคุณ อาจเริ่มโดยการขายที่คุณสนใจ ซึ่ง Facebook ก็ได้บอกว่ามีหลายธุรกิจที่ทำการค้าขายผ่านออนไลน์ แต่สิ่งสำคัญ คือคุณต้องบริหารเวลา การจัดส่งสินค้า การตรวจสอบเงินโอนให้เป็นระบบด้วย

5. เขียน blog ของตนเอง
มีคนไม่น้อยที่สงสัยว่าแล้วการเขียน Blog มันได้เงินอย่างไรหรือสร้างรายได้จากตรงไหน ? ซึ่งแน่นอนหลายๆทางที่คุณจะหารายได้จากบล็อก ไม่จำเป็นว่าบล็อกนั้นจะต้องเป็นบล็อกส่วนตัว อาจจะเป็นบล็อกเฉพาะทางที่ชอบหรือถนัดก็ได้ แล้วอัฟเดทให้สม่ำเสมอแล้วจะมีคนติดตามคุณเอง เช่น
บล็อกท่องเที่ยว สถานที่ที่เคยไป เคยเที่ยวมาก็เอามาเขียนลงบล็อกได้,บล็อกรีวิวหนัง ไปดูหนังมาก็เอามาเขียนรีวิวแนะนำเพื่อนได้, บล็อกเนื้อเพลงที่ชอบ, บล็อกหนังสือที่เคยอ่าน, บล็อกภาพถ่ายของเราเอง ชอบถ่ายรูปก็เอามาลง ดีไม่ดีภาพนั้นอาจจะขายได้เงินอีกทาง, บล็อกกีฬาโปรด , หรือบล็อกเกี่ยวกับงานที่เราทำก็ได้, บล๊อกทำขนม อาหาร หรือขายแบนเนอร์ ง่ายสุดๆละ หาคนมาซื้อพื้นที่โฆษณา ลงโฆษณาบนบล็อก เป็นต้น

6. เรียนรู้ graphic design
มันไม่ยากหนัก ถ้าจะฝึกเรียนรู้ graphic design ด้วยตนเอง จากคนที่ไม่มีความรู้ด้านนี้มาก่อน เพราะการมีพื้นฐานเกี่ยวกับการออกแบบกราฟิก จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าได้ ดีไซน์ที่ดีจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ดูดี และนำไปสู่การขายดีได้ เพื่อส่งต่อภาพลักษณ์นั้นให้กับกลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจได้ประทับใจที่สุด โดยอาจเริ่มจากโปรแกรม Adobe software และเว็บไซต์ เช่น Canva และ Visme

7. รับสอนดนตรี
ปัจจุบันมีผู้สนใจเรียนดนตรีมากขึ้น ทั้งการเล่นดนตรีประเภทต่างๆ และการร้องเพลง ไม่ว่าจะมาเป็นเดี่ยวหรือกลุ่ม เพราะเป็นช่องทางที่จะก้าวสู่อาชีพสร้างรายได้อย่างงาม ดังนั้น หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความรักและเชี่ยวชาญดนตรีอยู่แล้วละก็ อย่าทิ้งโอกาสที่จะเปิดโรงเรียนสอนดนตรี เพราะตลาดเรียนดนตรีขยายตัวกว้างขวางยิ่งขึ้นแน่นอน

8. พัฒนาแอพพริเคชั่น
สร้างแอพพลิเคชั่นบนมือถือและสมาร์ทโฟนขาย เป็นธุรกิจทำเงินที่สร้างรายได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยรายได้ที่ว่านั้นมาจากโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฎบนแอปพลิเคชั่นของคุณ หลายๆ คนก็เริ่มหาความรู้ เพื่อที่จะสร้างแอพพลิเคชั่น หวังว่าจะเป็นนวัตกรรมดึงดูดผู้คนให้เข้ามาดาวน์โหลด ซึ่งยิ่งมียอดดาวน์โหลดมากเพียงใด นั่นก็เท่ากับว่าผู้สร้างแอพก็จะมีรายได้เข้ากระเป๋ามากเท่านั้น และถึงแม้ช่องทางหาเงินนี้ เริ่มต้นอาจต้องใช้เวลาหน่อยในการสร้างแอพพลิเคชั่น แต่เมื่อใดที่คุณลงมือทำแล้วละก็ ครั้งต่อไปคุณเองจะสามารถบริหารเวลาในการปล่อยแอพพลิเคชั่นบนมือถือได้ดีทีเดียว

9. บริการสถานเลี้ยงสัตว์
เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง ใช้เวลาหลังเลิกงานและวันหยุด เปิดร้าน Grooming Space ร้านอาบน้ำตัดขนให้น้องสุนัขและน้องแมว

10. ช่างซ่อมบำรุง
เมื่อคุณกลายมาเป็นช่างซ่อมบำรุงนอกเหนือจากชั่วโมงเวลาการทำงานประจำของช่างบริการอื่น คุณอาจได้รับข้อเสนอพิเศษจากลูกค้า หากเป็นความต้องการที่เร่งรีบ อยากให้ซ่อมแซมอุปกรณ์ที่เสียหายอย่างเร่งด่วน โดยคุณอาจติดประกาศโฆษณาบริการตามสถานที่สาธารณะต่างๆ
ที่มา : entrepreneur ขอบคุณข้อมูลจาก ฐานเศรษฐกิจ  /http://money.sanook.com/392783/


วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

> คำคม “ขงเบ้ง”

ที่มาภาพ : www.samkok911.com

000

คําคมขงเบ้ง

1. เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต
2. ถ้าคุณหัวเสีย คุณจะเสียหัว
3. อย่าไล่สุนัขให้จนตรอก อย่าต้อนคนให้จนมุม
4. อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย
5. ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
6. เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย ดังนี้แล้ว “ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน”
7. นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
8. ผู้ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
9. จริงคือลวง ลวงคือจริง ถ้าคุณคิดว่าข้าศึกมีทางเลือกเพียง 2 ทาง จงแน่ใจได้ว่าเขาจะเลือกทางที่ 3
10. ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
11. มังกรถ้าไร้หัว หางก็ตีกันเอง ถ้าคานบนเอน คานล่างก็เบี้ยว ถ้าเสาเอกเฉียง เสาโทก็เฉ
12. คนมองไม่เห็นการณ์ไกล ภัยก็จะมาถึงตัว คนไม่รู้จักตัดไฟ ภัยก็จะน่ากลัว
13. ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี
14. ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
15. เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
16. เมื่อเสียหลักก็ต้องหลบอย่างฉลาด เมื่อพลั้งพลาดต้องรู้หลึกใส่ปลีกหาง ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆทำ ค่อยคลำทาง จึงจะย่างสู่จุดหมายเมื่อปลายมือ
17. ปลาใหญ่มักตายน้ำตื้น
18. เกียรติยศย่อมเกิดจากการกระทำที่สุจริต
19. ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
20. เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียว กับเขา ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
21. การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
22. ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
23. อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
24. เมื่อนักการฑูตพูดว่า “ใช่ หรือ อาจจะ” เขามีความหมายว่า “อาจจะ” เมื่อนักการฑูตพูดว่า “อาจจะ” เขามีความหมายว่า “ไม่” เมื่อนักการฑูตพูดว่า “ไม่” เขาไม่ใช่นักการฑูต เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร
25. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า “ไม่” หล่อนมีความหมายว่า “อาจจะ” เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า “อาจจะ” หล่อนมีความหมายว่า “ใช่ หรือ ได้” เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า “ใช่ หรือ ได้” หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี
26. คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
27. ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต
28. อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย
29. ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี
30. ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดทำการใหญ่ ใจคอต้อง…มหาญ
31. ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า
32. เป็นแม่ทัพแล้วไม่กล้าตัดหัวคน เป็นแม่ทัพที่ดีไม่ได้
33. คนฉลาดปราดเปรื่อง เขานั่งนิ่งสงวนคม
34. ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่า ๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน
35. ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน
36. ความรู้ คือ อำนาจ
37. นั่งภูดูเสือ กัดกัน
38. เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉะนั้นจึงอย่าประมาท
39. ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้
40. ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน
41. น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น
42. ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่

คำคมสอนใจ

43. โลกกลมๆใบนี้ ไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ
44. อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
45. คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
46. ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
47. ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
48. ในโลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีคำว่าแน่นอน
49. ความปราถนาอย่างแรงกล้า นั่นแหละคือเหตุผล
50. คนเราเมื่อม้าตาย ก็ต้องลงเดิน
51. คนเราจะไม่ต้องใช้สมองเลย ถ้าพูดแต่ความจริง
52. ท้อแท้ได้แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้แต่อย่าริษยา พักได้แต่อย่าหยุด
53. เหตุผลของคนๆ หนึ่ง อาจจะไม่ใช่เหตุผลของคนอีกคนหนึ่ง
54. ถ้าคุณไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
55. ปัญหาทุกอย่าง ล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
56. น้ำใจส่วนน้ำใจ เหตุผลส่วนเหตุผล
57. เรื่องดีหรือเรื่องร้ายทางที่ดีบอกกันก่อน
58. หนทางยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
59. เราจะเห็นค่าความอบอุ่น ก็ต่อเมื่อเราผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
60. อันตรายที่สุดสำหรับชีวิตคนเรา คือ การคาดหวัง
61. เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
62. สวรรค์นั้นพึ่งยาก คนนั้นพึ่งยากกว่า
63. อย่ายอมแพ้ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
64. จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
65. เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน เบื้องหลังของสติ สมควรมีอารมณ์
66. ไม่มีคำว่าบังเอิญในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่าตั้งใจ
67. ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
68. หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใส
69. หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
70. ไม่เป็นขุนนางน่ะได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
71. มีแต่วันนี้ ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
72. เมื่อวานก็สายเกินแก้ พรุ่งนี้ก็สายเกินไป
73. เพื่อนกิน เพื่อนกัน เพื่อนกินไม่ทัน เพื่อนกันเอาไปกิน
74. ชะตาฟ้าลิขิต…แต่ชีวิตนะของผม
75. รักแท้ต้องแย่งชิง..รักจริงต้องปล่อยไป
76. ตัดกระดาษต้องใช้กรรไกร .แต่ตัดใจต้องใช้เวลา
77. กาเม มอระนัง ทุกขัง โลเก…(กามตายด้านเป็นทุกข์ในโลก)
78. รักดีกินถั่ว รักชั่วกินเหล้า..รักดีรักชั่ว กินถั่วแกล้มกะเหล้า เอิ้ก ๆ
79. สิ่งเดียวที่จะทำให้คนชั่วชนะก็คือ ‘การที่คนดีนิ่งดูดาย’
80. กำขี้ดีกว่ากำตด แต่ถ้ากำขี้สดๆกำตดจะดีกว่ากำขี้
81. ทำแล้วเสียใจ ยังดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
82. จุดยืนของเราทุกคนคือ ….
83. กระบี่อยู่ที่ใจ แค่ไม้ไผ่ก้อไร้เทียมทาน
84. เห็นงานเป็นลม เห็นนมสู้ตาย สู้ว้อย
85. ตัวอย่างที่ดี…มีค่ากว่าคำสอน
86. ดี-ชั่ว ไม่ได้เป็นที่กรรมพันธุ์…
87. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า “ไม่” หล่อนมีความหมายว่า “อาจจะ” เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า “อาจจะ” หล่อนมีความหมายว่า “ใช่ หรือ ได้” เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า “ใช่ หรือ ได้” หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี
88. คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
89. ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต
90. อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย
91. ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี
92. ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดทำการใหญ่ ใจคอต้อง…มหาญ
93. ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า
94. เป็นแม่ทัพแล้วไม่กล้าตัดหัวคน เป็นแม่ทัพที่ดีไม่ได้
95. คนฉลาดปราดเปรื่อง เขานั่งนิ่งสงวนคม
96. ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่า ๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน
97. ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน
98. ความรู้ คือ อำนาจ
99. นั่งภูดูเสือ กัดกัน
100. เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉะนั้นจึงอย่าประมาท
101. ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้
102. ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน
103. น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น
104. ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่
105. การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
106. ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่ ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
107. อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
108. เมื่อนักการฑูตพูดว่า “ใช่ หรือ อาจจะ” เขามีความหมายว่า “อาจจะ” เมื่อนักการฑูตพูดว่า “อาจจะ” เขามีความหมายว่า “ไม่” เมื่อนักการฑูตพูดว่า “ไม่” เขาไม่ใช่นักการฑูต เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร

ที่มา : www.xn--108-pkla8onerj.com

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

> วันนี้เอาเรื่องที่แปลลงนุสนธิ์บล็อกสปอตเมื่อปี53 และก็ถูกแชร์กระจายไปในโลกโซเชี่ยลอย่างรวดเร็ว

วันนี้เอาเรื่องที่แปลลงนุสนธิ์บล็อกสปอตเมื่อปี53 และก็ถูกแชร์กระจายไปในโลกโซเชี่ยลอย่างรวดเร็วในเวลานั้น จนตอนนี้ นุสนธิ์บล็อกสปอตก็ได้ปิดตัวลงแล้ว เอามาให้ทุกๆท่านอ่านซ้ำกันอีกรอบนะครับ
...........................................
วันนี้ ได้รับเมล์จากคุณเหอจิ้งอี๋(何姐靜宜) เห็นหัวข้อในตอนแรก ก็คิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด แต่เมื่อได้อ่านก็เข้าใจว่า มันควรได้ 23 จริงๆ มาติดตามเนื้อเรื่องกันนะครับ
เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ
มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า
จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลูกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า
“3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย24เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า
“พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า
“ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า
“ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า
“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า
“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า
“3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า
“อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า
“ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่ จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ? เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน! เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง” เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้ ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่ จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”
เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”
จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย
................................
จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน) ที่ร้องว่า “หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง?
เช่นกัน บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)
..........................
ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด
นุสนธิ์บุคส์
ขอบคุณที่มา :  https://www.facebook.com/NusonBooks
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.facebook.com/NusonBooks

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

> ไป7-11ยืนต่อคิวจ่ายตังค์

ไป7-11ยืนต่อคิวจ่ายตังค์
หนุ่มโรงงานข้างหน้าผม สั่งพนักงาน7-11ว่า..LMเขียวเล็ก 1ซอง
พนักงาน7-11หยิบให้แล้วคิดเงิน....71บาทครับ!
ผมตกใจมาก!!
เลิกสูบบุหรี่มานานแล้วไม่คิดว่าบุหรี่1ซองเกือบร้อยบาท
หนุ่มโรงงานจ่ายเงินแล้วเดินจากไป...
เขาทิ้งเรื่องราวมากมายให้ผม...คิดต่อ
ผมคิดถึงความโง่!!....ของตัวเอง
สมัยก่อนทำงานรับจ้างในตลาด เข็นผักบ้าง
ส่งของบ้าง ขายแรงงานเป็นกรรมกร
ได้ค่าแรง150-180บาทแล้วแต่วัน
เลิกงานมาควักเงินซื้อบุหรี่55บาท(สมัยก่อน)
หาเงินมาเกือบตายได้150บาท ซื้อบุหรี่55บาท
เกิน1ใน3ของรายได้.....โง่สิ้นดี
ยังครับความโง่ยังไม่หมด......
ซื้อเบียร์กินอีกคนละขวดกะเพื่อน
หาได้น้อยกินขวดเดียว หาได้มากกิน2ขวด110บาท
ทำงานมาทั้งวันกินเบียร์ซื้อบุหรี่เงินแทบไม่เหลือกลับบ้าน....
จนแล้วเสือก....โง่อีก!!!
จนแล้วเสือก...ไม่เจียมกะลาหัว
ผมใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นนานมาก....นานจนชิ้นกับความโง่
กว่าจะคิดได้ก็นานเอาเรื่องอยู่
คิดดูนะครับ(เอาอัตราปัจุบันนะ)
ค่าแรงวันละ300
ซื้อบุหรี่71บาท
กินเบียร์1ขวด60
เติมน้ำมันรถมาทำงาน50
กินข้าวเที่ยง40แป็ปซี่1ขวด12บาท
(ยังไม่คิดค่าข้าวเย็นนะ)ทั้งวันหาเงินได้300แต่ใช่เงินไป233บาท
เหลือเงินกลับบาท67บาท
แหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเข้างานเหลือเงินกลับบาท67บาท
แล้วทุกๆเย็นที่ดื่มกับเพื่อนๆ
ที่มีชีวิตคล้ายๆกัน จึงคุยกันถูกคอ
ทุกเย็นก็จะมานั่งล้อมวงแล้วโทษโชคชะตา
โทษดวง โทษเจ้านาย โทษคนทั้งโลก
แต่ไม่โทษตัวเอง!
ทุกวันตั้งคำถามกับตัวเองทำไมกูจนจังว่ะ?
เมื่อไหร่กูจะรวยว่ะ?
ที่ผ่านมารู้ว่าได้เงินเดือนเท่าไหร่
แต่ไม่เคยรู้ว่าใช้อะไรไปบ้าง
ลูกขอเงินซื้อลูกอม บ่นลูกกินของไม่มีประโยชน์
ลูกขอเงินซื้อไอติมบ่นลูกว่าสิ้นเปลือง
ตัวเองกินเบียร์/ซื้อบุหรี่.....ไม่คิด!!
จะรวยได้ไงแม่งเล่นใช้เงิน2ใน3ที่หามาได้ไปกับของไม่มีประโยชน์
ถามว่าคนรวยดื่มเหล้ามั้ย...ดื่มครับ
คนรวยสูบบุหรี่มั้ย....สูบครับ
แต่สิ่งที่ต่างกันคือ
คนจนเอาค่าแรงตัวเอง เอาเงินในอนาคตของตัวเองมาจ่าย
คนรวยเขาเอากำไรจากการค้าขายมาจ่าย
ทุนที่ใช้ต่อกิจการยังอยู่ครบ
ผมมีเพื่อนรวยระดับสิบๆล้านหลายคน
ผมนั่งกินเหล้ากับพวกมัน หารกันออกเท่ากัน
เช้ามามันรวยยังไงก็รวยเหมือนเดิม
ผมจนยังไงก็ยิ่งจนกว่าเดิม!!
เมื่อก่อนผม
จนแล้วเสือก...โง่อีก
สิริทัศน์ สมเสงี่ยม เขียน
ที่มา : https://www.facebook.com/tikh.jazz.3/posts/492801094239229

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

> 4 ขั้นตอนสร้างธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ ให้เป็น Tim Ferriss เมืองไทย

4 ขั้นตอนสร้างธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ ให้เป็น Tim Ferriss เมืองไทย


ตั้งแต่ผมจำความได้จนเรียนจบ จนทำงาน จนลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ที่บ้านจะพูดเสมอให้ไปสมัครรับราชการ สวัสดิการดี มีบำเหน็จบำนาญหลังเกษียณ ผมเข้าใจว่าผู้ใหญ่อยากให้เรามีความมั่นคงปลอดภัยไร้ความเสี่ยง แต่สิ่งที่ผมเข้าใจคือความเสี่ยงถูกจำกัดได้ด้วยเงิน เมื่อไรที่คุณสามารถทำเงินอัตโนมัติเดือนละหลักแสน หรือหลักล้านจากที่บ้าน เมื่อนั้นความเสี่ยงจะลดลงไปเยอะ!
ความต้องการผมชัดเจนตั้งแต่วัยรุ่น คือไม่ต้องการที่จะมีชีวิตที่ต้องบุกฝ่าป่าคอนกรีตทุกเช้าและกลับเข้าบ้านทุกค่ำแลกกับรายได้เดือนหลักหมื่นบาทไปอีก 40 ปี ผมจึงมุ่งหน้าเข้าหางานในบริษัทเอกชนด้วย 3 สาเหตุ…
1. โอกาสเงินเดือนที่สูงกว่า
2. โอกาสโบนัสดีกว่า
3. โอกาสในการเรียนรู้ธุรกิจของนายจ้าง
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในสายงานเอกชน ได้ทำงานติดเจ้าของธุรกิจและได้เรียนรู้หลักคิดของคนระดับ CEO และ Entrepreneur เป็นต้น ได้เรียนรู้ระบบขององค์กรใหญ่ การบริหารจัดการคน ฯลฯ ส่วนเงินเดือนนั้นอาจไม่มากและไม่น้อยเมื่อเทียบกับตำแหน่ง แต่ผมถือว่าตัวเองได้กำไรด้านประสบการณ์ธุรกิจที่ไม่ต้องไปลงเรียน MBA และ ไม่ต้องเสี่ยงลงทุนเอง

กินเงินเดือน เงินเก็บไม่มี หนี้ล้น จะเริ่มธุรกิจได้อย่างไร

เริ่มทำงานใหม่ๆ เงินเดือน 4,500 บาท คิดในใจเงินเดือนแค่นี้คงยากจะเก็บเงินสร้างธุรกิจ จึงคิดว่าหากเงินเดือนขยับเป็น 15,000 บาทคงจะเหลือเพียบ ที่ไหนได้ พอได้เงินเดือน 15,000 ก็หมด ได้ 2 หมื่นก็หมด ได้ 3 หมื่นก็หมด!
ผมเคยแอบถามคนที่เงินเดือนหลักแสน ถามว่าหมดไหม เขาบอกว่า “หมด แถมมีหนี้ด้วย!
นี่มันคำสาปมนุษย์เงินเดือนหรืออย่างไร” ผมคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรจึงมีธุรกิจส่วนตัวได้โดยที่ไม่มีเงินทุน แถมเป็นหนี้สินเกินตัวอีกต่างหาก เพราะเมื่อฐานเงินเดือน 15,000 ขึ้นไป ผมเริ่มโดนรุมจีบจากสินเชื่อ สลิปเงินเดือนช่วยให้ผมกู้สบายเป็นหนี้เกินตัวง่ายสุดๆ จนมีหนี้สินมากกว่าเงินเดือนตัวเองเกินสิบเท่าตัว!
ถามว่าเป็นหนี้เพื่ออะไร ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากสำเร็จเร็วแต่ประสบการณ์น้อย คิดอะไรตื้นๆ เอาเงินในอนาคตมาลงทุนในธุรกิจที่คิดว่าจะทำให้รวยเร็ว เช่น เล่นหุ้นเก็งกำไร และขายของออนไลน์ (ที่แหล่งข่าวไม่ได้กรองบอกว่าแนวนี้กำลังมาแรง) สุดท้ายเจ๊งหมด
แต่ผมก็ยังไม่หยุดคิดที่จะเป็นนายตัวเอง คิดตลอดเวลาจะหาเงินทุนจากไหน จะทำธุรกิจคู่งานประจำโดยไม่เสี่ยงลาออกมาตายดาบหน้าอย่างไร ฯลฯ จนกระทั่งมาเจอกับหนังสือ The 4-Hour Work Week เขียนโดย Tim Ferriss

The 4-Hour Work Week ทำงานสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง เป็นไปได้เหรอ?

ร้านหนังสือขาประจำคือ Kinokuniya สาขาดิเอ็มโพเรี่ยม (ตอนนี้ย้ายไปอยู่ เอ็มควอเธียร์)
ณ วันหนึ่งเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว (นับจากปี 2015 นี้ก็ราว ๆ ช่วง 2009-2010) ผมเจอหนังสือหน้าปกเป็นกราฟฟิกคนนอนเปลระหว่างต้นมะพร้าวชาวเกาะ ชื่อหนังสือ

The 4-Hour Work Week:
Escape the 9-5, Live Anywhere and Join the New Rich

Blog Image 03
ทันทีที่เห็นชื่อหนังสือ ผมคิดทันทีว่า เป็นไปไม่ได้!
และเมื่อเปิดดูเนื้อหาข้างใน ด้วยภาษาของผู้เขียนที่อ่านยากแปลยาก (ผมเป็นนักแปลอิสระคู่ภาษาอังกฤษไทยยังรู้สึกมึน) ไม่เก็ตว่าตาคนนี้เขาทำอะไร ทำธุรกิจแนว Internet spam หรือเปล่า ฯลฯ จึงวางหนังสือไป
สาเหตุที่ผมไม่ยินดีกับหนังสือเล่มนี้เมื่อแรกเห็นเพราะพื้นฐานผมเป็นคนกลุ่ม GenX หรือพวก Corporate จ๋า ทำงานหนักๆ แข่งขันเยอะๆ เพื่อไต่ขึ้นสู่ตำแหน่ง CEO ใส่สูทผูกไทแล้วรับเงินเดือนหลักแสน จากนั้นก็แบ่งเงินไปลงทุนในหุ้น ฯลฯ ซึ่งการจะไต่สายงานแบบนี้ได้คือ คุณต้องทำงานหนักมาก และผมก็ทำงานวันละ 10 ชั่วโมงหรือสัปดาห์ละกว่า 50 ชั่วโมงเพื่อยกระดับตัวเองสู่งานบริหารดังกล่าว (เพียงแต่เงินเดือนไม่ถึงแสน)
เมื่อเจอกับชื่อหนังสือ The-4 Hour Work Week ผมจึงรู้สึกเหมือนโดนตบนั่นเอง แต่กระนั้น การตบนั้นเสมือนการตบโดยสาวสวยที่ผมอยากรู้จัก ทำให้ผมจำชื่อหนังสือนี้ขึ้นใจและอยากจะทำความเข้าใจกับมันสักครั้ง

หลักคิดรวยได้สบายด้วย ทำเงินทำงานสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมง

หลังจากวันนั้นในชีวิตผมมีอีกหลายเหตุการณ์ผ่านเข้ามาทำให้ผมค่อยๆ ก้าวเข้าสู่เส้นทางที่คล้ายคอนเซปต์ The 4-Hour Work Week (โดยที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือนะครับ) เส้นทางคดเคี้ยวเล่าไปจะงง
เอาเป็นว่าผมมาตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านเมื่อประมาณปี 2014 หลังจากที่เริ่มมี Passive income จากการขายของออนไลน์ แม้จะเพิ่งเริ่มต้นและรายได้ยังไม่มากกว่าเงินเดือน แต่เมื่อคำนวณเป็นค่าเฉลี่ยต่อชั่วโมงแล้ว รายได้จากขายของออนไลน์ทำเงินต่อชั่วโมงสูงกว่า! – นี่คือคีย์คอนเซปต์ของการเป็น The 4-Hour Work Week ทำน้อยกว่า ได้มากกว่า มีเวลาไปพัฒนาช่องทางทำเงินต่อๆ ไป

คำเตือนก่อนไปต่อ

ประโยค The 4-Hour เป็น ‘Conceptual’ หรือ ‘แนวคิด’ เพื่อจำง่าย และไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องทำงานสัปดาห์ละ 4 ชั่วโมงเพื่อผลลัพธ์นั้นๆ คุณอาจจะทำน้อยกว่าก็ได้ หรือมากกว่าก็ได้

เป้าหมายที่ใช่ 3 ข้อเพื่อชีวิต The 4-Hour

1. ทำเงินมากกว่า ด้วยเวลาเท่ากันหรือน้อยกว่าคนส่วนใหญ่
2. เอาเวลาที่ได้มา ไปพัฒนาระบบทำเงินใหม่ๆ
3. เอาเวลาและเงินที่ได้มา ไปสร้างคุณค่าแก่สังคมให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
หากคุณไม่มีเงินและเวลามันจะยากมากที่สร้างคุณค่าที่มีผลต่อชีวิตของตัวเองและผู้อื่นในระดับ ‘เปลี่ยนชีวิต’ หรือ ‘เปลี่ยนโลก’ กล่าวคือสมัยทำงานแบบ 9-to-5 เช้าไปเย็นกลับ ผมก็ได้แค่ตัวเองรอดแต่ไม่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนรอบข้างหรือแม้แต่คนในครอบครัวในแบบที่ใจอยากให้เป็น

ความเข้าใจผิด 3 ข้อของคนอยากมีชีวิต The 4-Hour

1. The 4-Hour ไม่ใช่ การหาวิธีสร้างความมั่งคั่งบนพื้นฐานของ ‘ความเกียจคร้าน’ แต่อยู่บนพื้นฐานของการสร้าง ‘คุณค่า’
2. Passive Income ไม่ใช่ ปุ่มวิเศษ หาซื้อไม่ได้ ต้องลงมือทำ การเริ่มต้นสร้างระบบทำงานหนักกว่าการทำงานประจำ คุณไม่มีวันหยุดจนกว่าระบบคุณจะทำงานนั่นแหละจึงจะมีโอกาสออกจากระบบได้
3. คนที่คอยหาวิธีรวยโดยไม่ทำงานจะต้องทำงานตลอดไป คนที่อยากเกษียณเร็วๆ จะไม่ได้เกษียณ – The 4-Hour เป็นอารมณ์ประมาณคนทำงานทำเงินจากสิ่งที่รัก อาทิ วอเรน บุฟเฟต อายุ 85 ปี ทรัพย์สินคิดเป็นเงินไทยกว่า 2 ล้านล้านบาทยังไม่หยุดทำงาน (ที่รัก) นั่นคือวิเคราะห์และลงทุนในหุ้น คนที่ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งที่รัก ไม่เคยคิดเรื่อง ‘เกษียณ’

Tim Ferriss แบบไทยๆ

Tim Ferriss เขียนหนังสือ The 4-Hour Work Week จากประสบการณ์การทำธุรกิจที่ทำไปทำมา ยิ่งทำยิ่งเครียด ยิ่งไม่มีเวลา และรายได้ต่อชั่วโมงยิ่งน้อยลง ถ้าทำธุรกิจแล้วชีวิตต้องกลายเป็น ‘ทาส’ แปลว่ากำลังมาผิดทาง เขาจึงหาวิธีสร้างธุรกิจที่ทำงานและทำเงินแทนเขาได้ มีรายได้ต่อชั่วโมงที่สูงกว่า (หรือต่อหน่วยการขายใดๆ ที่คุณจะใช้เป็น Factor วัดผล) และมีเวลาไปทำสิ่งที่อยากทำอย่างเต็มที่
ธุรกิจที่สร้างรายได้มหาศาลให้เขาคือธุรกิจอีคอมเมิร์ซขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อ BrainQuicken ซึ่งมีการวางระบบให้ทำงานแบบกึ่งอัตโนมัติและสร้างยอดขายจากระบบที่วางไว้ 50,000-70,000 เหรียญสหรัฐต่อเดือน หรือคิดเป็นเงินไทยที่ราวๆ เกือบ 20 ล้านบาทต่อปี ก่อนที่เขาจะขายธุรกิจให้บริษัทเอกชนในอังกฤษในเวลาต่อมา
ตัวเลขไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่ผู้ที่ติดตามข่าว Tim Ferriss อย่างใกล้ชิดคาดการณ์ว่าธุรกิจถูกขายไปในราคาประมาณ 500,000-600,000 เหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 20 ล้านบาท +/- เช่นกัน
โมเดลธุรกิจและการทำเงินออนไลน์ลักษณะนี้มีคนทำมาก่อน กำลังทำอยู่ และทำตามกันทั่วโลก มีทั้งการขายสินค้าที่จับต้องได้ (Physical product) และ จับต้องไม่ได้ (Digital product)
ในประเทศไทยได้แก่ คุณเบนซ์ จิรายุ เจ้าของเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ www.sixpackhome.com ขายผลิตภัณฑ์สำหรับนักออกกำลังกาย มีการวางระบบทำงานอัตโนมัติ 100% ทั้งระบบไอทีและระบบคน โดยเจ้าของไม่ต้องลงมาบริหาร อาศัยดูรายงานยอดขาย ณ สิ้นวันเพื่อกระทบยอดเงินในบัญชี
อีกคนคือ คุณอั้ม วรัญญู เจ้าของเว็บไซต์ www.asuradech.com ขายดิจิตอลโปรดักท์ เป็นคอร์สออนไลน์ วางระบบทำงานเกือบอัตโนมัติ กล่าวคือด้านไอทีใช้ระบบ แต่ไม่ได้จ้างพนักงานประจำ เจ้าของเป็นผู้ตอบคำถามและพูดคุยกับลูกค้าด้วยตนเอง
ส่วนเจ้าของ www.ceoblog.co (ผมเอง) โมเดลธุรกิจคล้ายกับ คุณอั้ม วรัญญู
ประสบการณ์แต่ละคนเกิดขึ้นต่างที่ต่างเวลา แต่มีแนวทางการทำงานและผลลัพธ์ที่คล้ายกันโดยมิได้นัดหมาย และวันนี้พวกเราชื่นชม Tim Ferriss เหมือนกัน

Step by Step 4 ขั้นตอนสร้างธุรกิจออนไลน์ให้เป็น Tim Ferriss 

ขั้นที่ 1 เข้าใจคำว่า Passive Income ก่อนสร้าง Passive Income

Passive income เป็นคำหวาน ฟังแล้วหลงรักและความรักอาจทำให้ตาบอด เข้าใจผิดไปว่า Passive income คือรายได้ที่รวยง่ายๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย
อย่าลืมว่ารายได้เกิดจากคุณค่าที่คุณสร้างขึ้นมาแล้วนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงิน หลักคิด Passive income ช่วยเรื่องการวางระบบให้คุณสามารถส่งมอบคุณค่าและรับผลตอบแทนแบบกึ่งอัตโนมัติ

Passive Income ตามความเข้าใจเดิม

Passive income มีหลายวิธี วิธีที่คนคิดถึงมากเป็นอันดับต้นๆ คือ ลงทุนในสินทรัพย์ และสินทรัพย์อันดับแรกคือ หุ้น รองลงมาคือ อสังหาริมทรัพย์ ตามมาติดๆ ด้วยค่าลิขสิทธิ์จากทรัพย์สินทางปัญญา ได้แก่ งานเขียน งานเพลง และงานภาพยนตร์ เป็นต้น ส่วน
Passive income ที่คนนึกถึงน้อยกว่าคือการลงทุนใน Private equity ได้แก่การร่วมลงทุนในธุรกิจเอกชน ธุรกิจใหม่ ธุรกิจของเพื่อนและคนรู้จัก
ปัจจุบันคนที่มีเงินเยอะและไม่ได้ใช้ทำอะไรนิยมย้ายเงินจากตลาดหุ้นไปลงทุนในกลุ่ม Private equity มากขึ้น บริษัทเอกชนที่ได้รับการลงทุนเหล่านี้เรียกตัวเองว่า Startup และนักลงทุนใน Startup เรียกตัวเองว่า Angel Investor หากทำเป็นกิจจะลักษณะเปิดเป็นกองทุนจริงจังก็เรียกตัวเองว่า Venture Capital

Passive Income ในแนวคิดใหม่

Passive income ในแนวคิดใหม่ของ Tim Ferriss เรียกว่า The new rich
เป้าหมายของ The new rich คือ มีความคล่องตัวสูง ขยายธุรกิจง่ายเร็ว และรวยเวลา
ดังนั้นการสร้างธุรกิจขนาดใหญ่ สะสม Fixed asset อย่างอาคาร โรงงาน และเครื่องจักร ใช้พนักงานประจำเยอะ เจ้าของต้องอยู่เฝ้าระบบ ไม่ใช่เป้าหมายของ The new rich
การลงทุนในสินทรัพย์ที่ต้องใช้เงินเริ่มต้นสูง ให้ผลตอบแทนน้อย ต้องใช้เวลาสะสมและสร้างฐานนาน อาทิ หุ้นและอสังหาริมทรัพย์ ก็ไม่ใช่คอนเซปต์ของ The new rich

3 แนวคิดทำเงินสไตล์ The new rich

1. ทำเงินจากธุรกิจที่แลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ทันที 
2. มีผลตอบแทน 100% ขึ้นไปต่อหนึ่งหน่วยการซื้อขายทันที 
3. Duplicate ระบบ และ Scale-up ธุรกิจได้เร็วและถูก
แนวคิดแบบ The new rich เชื่อว่าความร่ำรวยในอัตราเร่งเกิดจากการค้าบวกกับระบบการขายที่มีประสิทธิภาพ และหนึ่งในระบบการขายที่ The new rich ชอบคือ ออนไลน์

4 จุดเด่นเริ่มต้นธุรกิจจากออนไลน์

1. ไม่มีหน้าร้าน (ประหยัดเงินลงทุนเฉพาะหน้า 5 แสน – 1 ล้านบาท) 
2. ไม่จ้างพนักงานประจำพื้นที่ (ประหยัดปีละหลายล้านบาท) 
3. ใช้การตลาดออนไลน์แทนสื่อออฟไลน์ (ประหยัดงบโฆษณาปีละหลายล้านบาท) 
4. ใช้ระบบงาน Outsource เฉพาะส่วนที่จำเป็น (ประมาณการณ์งบประมาณตัวเองได้)

ขั้นที่ 2 ออกแบบธุรกิจออนไลน์

ITU เป็นหน่วยงานด้านฐานข้อมูลในเครือของสหประชาชาติรายงานว่าในปี 2015 มีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตประมาณ 3,000 ล้านกว่าคน ในขณะที่คนหมุนเวียนอยู่บนเฟซบุ๊กเฉลี่ยวันละ 1,400 ล้านคน ทำให้เกิดอารมณ์แบบยุคตื่นทองว่าใครก็ตามเข้ามาทำธุรกิจออนไลน์ก็รวยง่ายรวยได้ทุกคน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่
โลกออนไลน์ช่วยให้คุณเข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้เร็วและประหยัดกว่าการรุกแบบออฟไลน์ แต่หนึ่งในกฎทองการทำธุรกิจยังคงเหมือนเดิมนั่นคือ ขายอะไร ขายใคร และขายอย่างไร

ขายใคร

จะขายอะไรคุณต้องไปศึกษาเอาเอง เพราะทุกอย่างบนโลกนี้ที่มีคนขายก็แปลว่ามันขายได้และรวยได้ทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะถูกจริตกับสินค้าประเภทไหนมากที่สุด
แต่ไม่ว่าคุณจะขาย Physical หรือ Digital product และต่อให้เป็นสินค้าใน Category เดียวกับผู้ขายอื่นในท้องตลาด อาทิ ขนม น้ำหวาน น้ำหอม เครื่องสำอาง คอร์สออนไลน์ ฯลฯ คุณก็จำเป็นต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะเจาะจง ได้แก่
เพศ
อายุ
การศึกษา
รายได้
ไลฟ์สไตล์
และ แก้ปัญหาอะไรให้ชีวิตเขา

ธุรกิจต้องแก้ปัญหาให้ผู้อื่น

ข้อสุดท้ายสำคัญมากเพราะ ธุรกิจคือการแก้ปัญหา สินค้าต้องตอบโจทย์ปัญหาที่คนกำลังประสบอยู่เข้าจึงจะยินดีจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการจากคุณ และคำว่า ‘ปัญหา’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าความทุกข์ยากเสมอไป
ยกตัวอย่าง เสื้อผ้า ราคา 100 บาทแก้ปัญหาคือกันอุจาดเท่านั้น นั่นคือการแก้ปัญหาความทุกข์ขั้นพื้นฐานสำหรับคนมีรายได้น้อย
แต่สำหรับคนที่มีรายได้มากไม่ได้ต้องการเสื้อผ้าเพื่อบำบัดความทุกข์จากความอุจาดอีกต่อไป เขาต้องการเพิ่มความสุขด้วยความดูดี จึงเกิดเสื้อผ้าแฟชั่นมีดีไซน์ราคาแพงที่สวมใส่แล้วทำให้ผู้สวมใสดูหล่อสวยมีระดับ
ธุรกิจของคุณแก้ปัญหาให้ใคร ขายใคร ใครคือลูกค้าของคุณ

กรณีศึกษาการสร้างธุรกิจของ Leader Wings

Leader Wings ร่วมกันก่อตั้งโดยพาร์ทเนอร์สามคนรวมทั้งผมด้วย โดยเงินทุนสนับสนุนของนายทุน Angel investor – Leader Wings จัดเป็นธุรกิจ Startup
ผมและคุณอั้ม วรัญญู หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเป็น Infopreneur อาชีพและสร้างรายได้สะสม 7 หลักจากอาชีพนี้มาก่อน จากประสบการณ์ทำงานทำให้พบว่าอาชีพ Infopreneur เป็นอาชีพที่รายได้ดีและมีกำไรสูง แต่การจะสร้างตัวตนให้สามารถขายดีมีกระบวนการที่ยาวนานและการทำงานที่หนักหนา

ปัญหาคือ

1. ฝั่ง Creator: คือคนมีเนื้อหาดีๆ น่านำมาเผยแพร่แต่ต้องถอดใจตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นเพราะเพียงกระบวนการผลิตอย่างเดียวก็กินเวลาและพลังงานจำนวนมากโดยไม่มีหลักประกันว่าจะขายได้ 
* ดั่งเช่น Ebook เล่มแรกที่ผมทำขาย ใช้เวลา 1 ปีในการทำงานแต่ขายได้เพียง 1 เล่ม (79 บาท) แล้วก็ขายไม่ออกอีกเลย
2. ฝั่ง Consumer: คนอยากเสพเนื้อหาดีๆ ขาดโอกาสในการเข้าถึงเนื้อหาเหล่านั้นเพราะไม่มี Creator ในขณะที่ตลาดหนังสือเล่มบ้านเราก็อิ่มตัว แนวหนังสือที่ออกใหม่เริ่มซ้ำกันและเนื้อหาคล้ายกัน
เราจึงก่อตั้งบริษัท Leader Wings เพื่อเชื่อมสองฝั่งนี้เข้าด้วยกัน เป้าหมายคือเป็นผู้ผลิต Information products ให้กับคนที่มีเนื้อหาแต่ขาดทรัพยากร 3 ส่วน ได้แก่ 1. เครื่องมือการผลิต2. ช่องทางการจัดจำหน่าย, และ 3 ระบบการจัดจำหน่าย Leader Wings จัดการ 3 ส่วนนี้แบบ One stop
Leader Wings ไม่ใช่ Information business solution คนแรกในตลาดเพราะมีเพื่อนรักร่วมอุตสาหกรรมเดียวกันอย่าง Stock2Morrow, OokBee, SkillLane, Talad Punya ฯลฯ ดังนั้นเราจึงต้องมีการกำหนดแนวทางของธุรกิจว่า ขายอะไร ขายใคร และ ขายอย่างไร….
ขายอะไร: CD Audio และ DVD Video เนื้อหาแนว How-to ระดับลึก
ขายใคร: เจาะกลุ่มคนทำงานระดับ Middle และ Senior ไปจนถึงเจ้าของธุรกิจ SME/ Ecommerce เพศชายและหญิงอายุเฉลี่ย 27-40 ปี
ขายอย่างไร: ออนไลน์ 90% และ ออฟไลน์ 10% ผ่านทางงานอีเวนต์ของ CEOblog และพันธมิตร

ขั้นที่ 3 เตรียมทรัพยากรและลงมือสร้างธุรกิจออนไลน์

กรณีนี้หมายถึงการเริ่มต้นด้วยตัวคนเดียว
3 ทรัพยากรเริ่มต้นที่ต้องการ ได้แก่ Money, Platform, Delivery System

1. Money

ธุรกิจออนไลน์ใช้เงินลงทุนไม่เยอะ อย่างที่บอกคือคุณไม่ต้องลงทุนกับอาคารหน้าร้านเป็นหลักล้านบาท การสร้างหน้าร้านออนไลน์ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่เกินหมื่นบาทแบ่งเป็น
ค่าเช่าโฮสต์และจดทะเบียนชื่อเว็บไซต์ ค่าซื้อ Theme เว็บไซต์ และซื้อเครื่องมือและระบบการทำธุรกรรมออนไลน์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบการทำธุรกรรมอีคอมเมิร์ซบางชนิด เป็นต้น (แล้วแต่)
เงินลงทุนกับตัวสินค้า – ถ้าคุณผลิตแบรนด์สินค้าที่เป็น Physical ของตัวเองเลย อันนั้นใช้เงินหลายแสน ไม่แนะนำในช่วงเริ่มต้น ยกเว้นการทำ Information products
ถ้าคุณขายสินค้า Physical คุณอาจต้องลงทุนกับสต็อกสินค้าบ้าง อาจจะเป็นหลักหมื่น และกรณีสุดท้ายหากคุณขายสินค้า Digital อย่าง Information product คุณก็จะไม่มีค่าสต็อกใดๆ เพียงแต่แพลทฟอร์มที่คุณเอาไปฝากขายจะมีรอบการจ่ายเงินให้คุณประมาณ 30-60 วัน
เงินลงทุนกับค่าโฆษณา – โฆษณาเป็นสิ่งจำเป็นครับ โฆษณาออนไลน์หลักๆ ได้แก่ Google AdWord และFacebook Ads สองอันนี้มีวิธีการทำงานคนละแบบ
Google AdWord ทำงานด้วยการ Search คนต้องมีปัญหาแล้วเข้ามาค้นหาวิธีแก้ปัญหาจึงมีโอกาสเจอโฆษณาของคุณหากคำค้นหานั้นตรงกันกับค่าที่กำหนดไว้ ส่วน Facebook Ads ทำงานด้วยการ Show คือโชว์โฆษณาต่อหน้าคนที่เล่นเฟซบุ๊กเลยหากคนๆ นั้นมีความสนใจเดียวกับที่คุณตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้โฆษณาไปแสดงผล ค่าโฆษณาออนไลน์ไม่ได้สูงจนเกินไปเมื่อเทียบกับโฆษณาออฟไลน์ เดือนละหลักพันกลางๆ หรือหลักหมื่นต้นๆ ก็พอเริ่มต้นได้ครับ
แต่ละประเภทธุรกิจมีเงื่อนไขที่ต่างกันไป ขอสรุปแบบคร่าวๆ ว่าคุณควรมีเงินเย็นๆ ไว้สัก 50,000 บาทในการเริ่มต้น และควรมีรายได้หลักจากงานประจำไว้เป็น ‘กระแสเงินสด
เพราะในช่วง 2-3 เดือนแรกรายได้จากธุรกิจออนไลน์นั้นยังไม่ให้ผลลัพธ์อะไรมากนัก และอาจใช้เวลา 6 เดือนขึ้นไปกว่าที่จะแตะจุดที่กำไรมากกว่าค่าใช้จ่ายของครอบครัวและเหลือเก็บเพื่อนำไปลงทุนเพิ่ม อันนี้เป็นการประมาณการณ์แบบ เซฟๆ นะครับ อย่างที่บอก Factor ธุรกิจมีเยอะมาก

2. Platform

แพลทฟอร์ม คือ รากฐานที่คุณจะใช้วางธุรกิจของคุณลงบนโลกออนไลน์ แบ่งเป็น 3 หัวข้อหลักได้แก่ Website, Social Network, และ Shopping cart software

Website

เว็บไซต์เปรียบเสมือนสำนักงานใหญ่บนโลกออนไลน์ของคุณ เป็นสินทรัพย์ที่คุณมีความเป็นเจ้าของในขณะที่การไปใช้บริการบนโซเชียลมีเดียอย่าง ยูทูป (Youtube) หรือ เฟซบุ๊ก Facebook ยังไม่ถือว่าคุณเป็นเจ้าของ 100%
ในระยะยาวเว็บไซต์ของคุณสามารถเพิ่มมูลค่าในตัวมันเองได้ มูลค่าในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการขายเว็บไซต์ แต่หมายถึงการนำ Passive income และ Passive opportunity เข้ามา อย่างเช่น CEOblog ที่สร้างรายได้ Passive income แล้วยังนำโอกาสทางการงาน เช่นการไปเป็นผู้บรรยาย ออกรายการโทรทัศน์ และลงนิตยสารต่างๆ เพราะเขาเห็นเรื่องราวที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์นั่นเอง
มีคนถามผมเสมอว่า “ปัจจุบันจำเป็นต้องมีเว็บไซต์ไหม
คำตอบของผมก็คงไม่พ้นคำว่า “จำเป็น
มีเว็บไซต์ของตัวเอง ก็เสมือนเป็นเจ้าของร้าน
มีแต่หน้าร้านในโซเชียล ก็เสมือนเช่าพื้นที่คนอื่น
ไม่ได้ตัดสินว่า ดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด แล้วแต่เป้าหมายชีวิตครับ
เป้าหมายของผมคือ เป็นเจ้าของแพลทฟอร์ม ผมจึงสร้างเว็บไซต์

สร้างเว็บไซต์ง่ายกว่าที่คิด

ทุกอย่างเป็นโปรแกรมสำเร็จรูปครับ
ซอฟต์แวร์เว็บไซต์ที่ผมใช้อยู่คือ WordPress.org
ผู้ให้บริการโฮสต์และจดโดเมนกับ Bluehost.com
วิธีสร้างเว็บไซต์ใน 20 นาทีกับ Bluehost ที่ How to Launch a Self-Hosted Blog with Michael Hyatt 

Social Network

เครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นที่ที่เหมาะกับการสร้าง Awareness หรือการรับรู้การมีตัวตนของคุณ เป็นที่ที่แบรนด์ใช้สื่อสารกับลูกค้าแบบรายวันและเรียลไทม์
ในประเทศไทยนิยมใช้โซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊ก และ อินสตาแกรม (ขอเน้นเฟซบุ๊ก) ในการเก็บเนื้อหาและทราฟฟิกไว้บนแพลทฟอร์มทั้งหมด เนื้อหาจะอยู่ในรูปของ Text post และ Image post ในขณะที่ต่างประเทศนิยมทำเป็น Link post เพื่อส่งทราฟฟิกออกจากแพลทฟอร์มของคนอื่นไปยังเว็บไซต์ที่พวกเขาเป็นเจ้าของ 100%

Shopping Cart Software

นี่คือสาเหตุที่ต่างประเทศนิยมทำเว็บไซต์ เพราะเครื่องมือในการวางระบบ Ecommerce หรือที่นิยมเรียกว่า Shopping cart หรือ ระบบตะกร้า นั้นสามารถทำให้สมบูรณ์และเป็นอัตโนมัติได้บนเว็บไซต์
หากคุณขายของผ่านเฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรม หรือไลน์ คุณควบคุม Flow งานไม่ได้ คนติดต่อสอบถามมาทุกทิศทาง โอนเงินบ้าง สั่งสินค้าไม่ชัดเจน ไม่โอนเงินบ้าง ฯลฯ ต้องถามกลับไปกลับมาเสียเวลา เสียโอกาส ไปจนถึงเสียหาย แนวคิด The 4-Hour จะสร้างระบบแล้วตบกระบวนการให้เข้ามาอยู่ในระบบให้ลื่นไหลเป็น Flow เดียวและเป็นอัตโนมัติครับ
ระบบตะกร้าอาจมีขั้นตอนการติดตั้งที่ซับซ้อนขึ้นมาเล็กน้อยและมีค่าใช้จ่าย แต่โชคดีมากที่วันนี้มี Startup รายหนึ่งพัฒนาระบบตะกร้าที่ใช้งานง่าย ควบคุม Flow การทำงานออนไลน์ การรายงานสถานะการสั่งซื้อแก่ร้านค้า การรับชำระเงิน (เงินสดและบัตรเครดิต) และการแจ้งสถานะกลับลูกค้าของคุณแบบ One stop ระบบนั้นคือPage 365 – ลองไปใช้กันดูครับ
แต่หากคุณขายสินค้าดิจิตอล อาทิ อีบุ๊ก คุณสามารถนำไปขายที่ OokBee และหากคุณทำคอร์สออนไลน์ คุณสามารถนำไปขายที่ SkillLane และ Talad Punya
แต่หากต้องการขายสินค้าดิจิตอลโดยตรงโดยไม่ผ่านคนกลาง คุณสามารถใช้ระบบชำระเงินของ Gumroad โดยลูกค้าของคุณต้องจ่ายผ่านบัตรเครดิต (ซึ่งคนส่วนมากชอบจ่ายผ่านบัตรเครดิต) เพียงแต่คุณต้องมีบัญชีฝากเงินออนไลน์ Paypal เพราะเงินที่โอนเข้า Gumroad จะส่งไปที่ Paypal ของคุณจากนั้นคุณจึงจะเบิกเงินมาบัญชีธนาคารในไทยได้ครับ (ข้อเสียคือราคาสินค้าต้องแสดงเป็น Dollar)
ผมใช้แทบทุกรายการที่หยิบยกมาในการขายของออนไลน์ครับ

3. Delivery System

ระบบการจัดส่งมีให้ทั้งแบบ Physical และ Digital
ถ้าเป็นสินค้า Digital อาทิ อีบุ๊ก คอร์สออนไลน์ ไฟล์เสียง วิดีโอ ซอฟต์แวร์ ฯลฯ สามารถส่งมอบออนไลน์โดยการเชื่อมระบบ Online payment gateway. รายละเอียดการทำงานของระบบและเครื่องมือใช้งานต่างๆ อยู่ในบทความ 6 ขั้นตอนสร้างรายได้ออนไลน์จากงานสอน  หัวข้อใหญ่ 4 Selling System หัวข้อย่อย 4.1, 4.2,และ 4.3 ครับ
ถ้าสินค้าเป็น Physical หลายคนคิดว่าต้องแพ็กเองส่งเองตอบลูกค้าเอง เกิดวันหนึ่งออเดอร์มาเป็นร้อยเป็นพันต่อวันจะทำอย่างไร? ปัจจุบันมีผู้ให้บริการคลังสินค้าและจัดส่ง มีทีมบริหาร จัดส่ง และการบันทึกและรายงานผลผ่านระบบออนไลน์ครับ
ระบบนี้เรียกว่า 3PL ย่อมาจาก 3rd Party Logistics หรืออาจเรียกว่า Fulfillment center เป็นผู้ให้บริการ คลังสินค้าและการจัดส่ง คุณนำสินค้าไปฝากไว้เมื่อมีออเดอร์คุณเพียงส่งรายละเอียดไปแล้วทาง 3PL จะหยิบสินค้า แพ็ก และส่งไปให้ปลายทางเสมือนคุณส่งเอง ช่วยให้การขายสินค้า Physical product ออนไลน์กลายเป็น Passive income
ผู้ให้บริการได้แก่ www.sokochan.com และ www.shipyours.com

ขั้นที่ 4 ทำการตลาดให้ธุรกิจออนไลน์

สมัยก่อนฝรั่งมีวลี “If you build it, they will come” ประมาณว่า “สร้างมาเถอะ สร้างอะไรมา (หรือมีอะไรมาขาย) เดี๋ยวคนก็มาเอง
ที่มาที่เป็นอย่างไรผมไม่แน่ใจ แต่วันนี้ไม่ใช่แน่ๆ เพราะทุกวันนี้โลกเต็มไปด้วยธุรกิจ สินค้า บริการ และข้อมูล จนผู้บริโภคเลือกไม่ถูก ธุรกิจใหม่จะเป็นที่รู้จักต้องทำการตลาด และการตลาดในที่นี้คือ การตลาดออนไลน์ หรือ Online/ Digital marketing

การตลาดออนไลน์ต้องอาศัย…

a) Official Website
  • ใช้เป็นพื้นที่ในการแสดงข้อมูลธุรกิจ สินค้า และบริการ
  • ใช้วางระบบตะกร้าเพื่อเปิดและปิดการขายครบวงจร
  • ใช้วางระบบ Email marketing
  • ใช้ทำ Content marketing
  • ใช้สนับสนุนการทำอันดับใน Search เรียกว่า Search Engine Optimization (SEO)
b) Content Marketing
ปัจจุบันผู้บริโภคมีการหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลำพังหน้าขายสินค้าที่ไม่มีข้อมูลใดๆ อาทิ ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของร้านค้า ไม่มีรีวิวจากลูกค้า ไม่มีเนื้อหาที่แสดงถึงวิธีใช้งานสินค้า ไม่มีบทความที่มีประโยชน์เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภค (Blog) ก็อาจทำให้ผู้สนใจตัดสินใจซื้อช้าลง หรือลองกลับไปหาข้อมูลกับเว็บไซต์อื่น
แต่หากผู้สนใจโชคดีไปเจอเว็บไซต์คู่แข่งที่อุดมไปด้วยข้อมูลที่มีประโยชน์และบทความที่แสดงถึงความเป็นผู้ขายผู้รู้จริงในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ผู้สนใจของคุณจะกลายเป็นผู้ซื้อให้กับเว็บไซต์คู่แข่งโดยปริยาย
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตลอดเวลาเพราะเว็บไซต์เหล่านั้นมีการทำ Content marketing ซึ่ง Content marketing ทำให้เนื้อหาติด Search engine และทำให้ผู้สนใจเกิดความเชื่อถือเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่มีประโยชน์
ความหมายและหลักคิดการทำ Content Marketing
Content marketing แปลว่า การผลิตเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย และใช้พาหนะในการส่งมอบเนื้อหา (กรณีนี้คือเว็บไซต์ และโซเชียลเน็ตเวิร์ค) ไปให้พวกเขาฟรีๆ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายมายังเว็บไซต์ที่มีเครื่องมือในการปิดการขายตามลำดับ
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ Content marketing หลักคิด กรณีศึกษา ผลลัพธ์จากสถิติ และวิธีทำเบื้องต้น ผมเขียนไว้อย่างละเอียดที่นี่ครับ
c) Facebook Marketing
โซเชียลเน็ตเวิร์คค่ายนี้มีคนหมุนเวียนใช้งานทั่วโลกประมาณวันละ 1.4 พันล้านคน จนใครๆ ก็เคลมว่าขายของผ่านเฟซบุ๊กมีแต่รวย แต่ในชีวิตจริงข้อความบนเฟซบุ๊กนั้นมหาศาลจนเกินที่คนจะรับไหว และหนึ่งในสิ่งที่ผู้ใช้งานไม่ชอบคือ ‘โฆษณา
เฟซบุ๊กต้องมีการปรับระบบการแสดงผลให้มีความเป็น Personalize มากขึ้น แต่ละคนเห็นเนื้อหาตามความชอบและพฤติกรรมการ Engage ข่าวสาร และลดการเข้าถึงของโพสต์เชิงขายสินค้า (อยากเข้าถึงคนเยอะต้องจ่ายเงินซื้อโฆษณา Facebook ads เป็นต้น)
หลักคิดจึงกลับไปที่ ขั้นที่ 2 ของบทความนี้ นั่นคือการออกแบบธุรกิจที่ต้องชัดเจนว่า ขายใคร เพื่อเลือกวิธีสื่อสารที่ตรงกลุ่ม
จากนั้น หลัก Content marketing นำมาใช้ได้ดีกับการตลาดเฟซบุ๊ก โดยการนำเสนอเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายเฉพาะของคุณอย่างสม่ำเสมอแทนการโพสต์รูปสินค้าท่วมเพจ ผู้สนใจได้รับคุณค่าจากเนื้อหาที่ตรงใจเขา เกิดการติดตาม พัฒนาเป็นแฟนคลับที่ชื่นชอบในแบรนด์ของคุณ ความชอบเหล่านี้นำไปสู่ความยินดีที่จะซื้อสินค้าเมื่อถูกประชาสัมพันธ์ออกมาทาง Facebook ads ทีหนึ่ง
งานเหล่านี้เป็นหน้าที่ของคุณในช่วงแรก จนกว่าฐานผู้สนใจ ผู้ติดตาม และผู้ซื้อจะเติบโตถึงจุดที่มีรายได้ต่อเนื่องมากแล้วค่อยเริ่มป้อนงานผลิตเนื้อหาไปยังเอเจนซี่ทำแทน
นี่คือบทความที่เกี่ยวข้องกับการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่สามารถประยุกต์กับการตลาดผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คและเฟซบุ๊กครับ
3 เหตุที่ Personal Branding ของคุณยังไม่ประสบผลสำเร็จ
3 สาเหตุธุรกิจออนไลน์ของคุณยังย่ำอยู่กับที่ และ 3 วิธีปรับปรุงเพื่อก้าวต่อไป
d) Email Marketing
นักการตลาดออนไลน์ในอเมริกา ไม่ขายของผ่านเฟซบุ๊กหรือไลน์ พวกเขาขายผ่านเว็บไซต์และผ่านรายชื่อในอีเมล์ อย่างหลังเรียกว่า Email marketing และการสะสมรายชื่อเรียกว่า List building โดยใช้วิธีทำอย่างถูกต้องและถูกกฎหมาย ไม่ใช่ Spam
ความสำคัญของการทำ List building เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่มาจาก Search engine และจากโซเชียลเน็ตเวิร์คนั้น “มาแล้วก็จากไป
ด้วยปริมาณเว็บไซต์และข้อมูลที่มากมายมหาศาลบนโลกออนไลน์ ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์มีอาจลืมคุณภายในวันเดียวและอาจไม่มีโอกาสกลับมาอีกเลย ดังนั้นต่างประเทศจึงต้องการเก็บอีเมล์ของผู้เยี่ยมชมที่มาเพื่อที่จะสามารถส่งอีเมล์ไปอัพเดทข่าวสารใหม่ๆ รวมถึงเสนอขายสินค้าและบริการโดยไม่ต้องรอให้เขาบังเอิญหาเจอบน Search engine ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้าและโดยไม่ต้องซื้อโฆษณา Google AdWord และ Facebook Ads แต่เพียงอย่างเดียว
เครื่องมือทำ Email marketing และวิธีทำให้คนสมัครอีเมล์ด้วยความเต็มใจผมมีเขียนไว้ใน 6 ขั้นตอนสร้างรายได้ออนไลน์จากงานสอน หัวข้อใหญ่ที่ 5. Digital Marketing หัวข้อย่อย เครื่องมือ 5: Email marketing

สรุป 

ต้องการบทความนี้ในรูปแบบอีบุ๊ก โปรดกรอกแบบฟอร์มด้านบนสุดของบทความนี้เพื่อรับอีบุ๊กฟรีครับ
ผมจะมีการรวบรวมบทความ How-to ยาวๆ แบบนี้ทำเป็นอีบุ๊ก เป็นระยะๆ เพื่อไม่พลาดอัพเดทต่างๆ โปรดเลื่อนไปด้านบนสุดเพื่อลงชื่อในแบบฟอร์มครับ
ที่มา : http://www.ceoblog.co/4-steps-start-online-business-like-tim-ferriss-the-4-hour-work-week/

Follow Us On